จะอยู่อย่างเป็นเหยื่อ หรือขึ้นเหนือไปนำเขา

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

สังคมไทยมีสถานะและสภาพอย่างไร
ในโลกเวลานี้?

ถ้าคนไม่มีค่านิยมบริโภค คือ ไม่ชอบเสพมาก ผลประโยชน์ของฝ่ายผู้ผลิตก็เสียไป ฉะนั้น ฝ่ายผู้ผลิตซึ่งอยู่ในระบบแข่งขัน เมื่อจะเอาชนะ เพื่อจะได้ผลประโยชน์มาก ก็ต้องกระตุ้นเร้าคนบริโภคให้มาก คือต้องส่งเสริมค่านิยมบริโภค

เมื่อเขาส่งเสริมค่านิยมบริโภค และเราบริโภคมาก ก็คือเราตกหลุมพรางเป็นเหยื่อเขา ใช่ไหม เขาก็ได้ผลประโยชน์สมประสงค์ แต่เรานึกว่าเราเก่ง เราได้บริโภคเยอะ เรามีความสุขมาก เราก็ยิ่งหลงมัวเมายินดีในตัวเอง

ถ้ามองในแง่สัมพันธ์ ก็เป็นเหยื่อเขา เมื่อมองในแง่ตัวเอง ก็ได้เสพกันใหญ่ แต่เมื่อมองในแง่ธรรมชาติ ก็คือธรรมชาติพินาศ ถ้ามองในแง่สังคม ก็คือ คนยิ่งเบียดเบียนกัน เพราะว่ามันยิ่งเอาจากกันและกัน และยิ่งไม่ซื่อสัตย์ต่อกัน

แค่นี้ก็ชัดแล้วว่า ระบบของสังคมปัจจุบันเป็นวิถีทางของการทำลายโลก แต่ก็เหมือนกับว่ามนุษย์ในยุคปัจจุบันนี้ ทั้งๆ ที่พอจะรู้ปัญหา แต่ก็ไม่รู้จะหาทางออกอย่างไร

เมื่อมองดูประเทศที่ยิ่งใหญ่ ก็ต้องพยายาม

๑. ในแง่การผลิต ก็ต้องเอาประเทศเล็กๆ เป็นแหล่งป้อนทรัพยากร เพราะว่าตัวเองจะผลิต แต่ทรัพยากรของตัวเองไม่พอ ก็ต้องไปเอาทรัพยากรจากประเทศเล็กประเทศน้อยทั่วโลกมาใช้ในการผลิต

๒. ในแง่บริโภค ก็ต้องไปกระตุ้นเร้าพวกประเทศเล็กๆ เหล่านี้แหละให้บริโภคมาก เพื่อตัวเองจะได้ผลกำไรมากๆ

ในสภาพของระบบแข่งขันอย่างนี้ เมื่อมองสังคมไทย เราจะเสียเปรียบหลายชั้น

๑. สังคมทั้งสังคมของเรา เป็นสังคมที่ได้รับอิทธิพลจากเขา เป็นไปตามเขา เสียเปรียบ และอยู่ในภาวะเป็นเหยื่อ ก็เสียเปรียบเต็มตัว (อยู่เบี้ยล่าง เป็นเหยื่อเขา)

๒. ขณะที่อยู่ในระบบแข่งขันนี้ เราไม่รู้ทัน เราไม่รู้ว่าอะไรเป็นอย่างไร กระแสเป็นอย่างไร เหตุปัจจัยเป็นมาอย่างไร แถมยังหลงระเริงยินดีด้วย (หลงเพลิน ไม่รู้เท่าทัน)

๓. คนของเรานี้ เมื่อต้องเข้าสู่ระบบแข่งขันระหว่างประเทศ หรือระหว่างสังคม มีคุณภาพไม่พอ เช่น อ่อนแอ ไม่มีจิตสำนึกทางสังคม เมื่อจิตสำนึกทางสังคมไม่มี ก็ไม่รวมตัวรวมใจที่จะทำให้ประเทศของตนชนะการแข่งขัน (คนอ่อนแอ ขาดคุณภาพ)

ญี่ปุ่นก็ต้องการความยิ่งใหญ่ คิดเอาชนะ อเมริกาก็ต้องการกู้ฐานะความยิ่งใหญ่คืนมา และรักษาสถานะไว้ หลายประเทศก็ต้องการใหญ่ขึ้นบ้าง

แต่ ในประเทศไทย จิตสำนึกรวมไม่ค่อยมี อะไรๆ ก็เป็นเรื่องของแต่ละคน เมื่อเป็นเรื่องของแต่ละคน ก็จะมีปัญหา คือกลายเป็นว่า

๑. คนของเราแข่งขันกันเองในระหว่างคนไทยด้วยกัน เมื่อแย่งชิงผลประโยชน์กัน ก็เหนื่อย แต่ละคนก็โดดเดี่ยว อ่อนล้า ไม่มีกำลัง

๒. คนของเราส่วนหนึ่ง เมื่อไม่มีจิตสำนึกทางสังคมส่วนรวม ก็จะไปเป็นเครื่องมือของต่างประเทศ มาเอาคนพวกเดียวกันเป็นเหยื่อ คนของเราส่วนหนึ่งจึงเป็นเครื่องมือของคนข้างนอก ให้มาหาผลประโยชน์จากพวกเราด้วยกันเอง

๓. เพราะไม่มีจิตสำนึกร่วมกันนั้น ก็จะมีความทุกข์มาก

ถ้าชาติไหนมีจิตสำนึกทางสังคม ก็จะเฉลี่ยความทุกข์ในใจกันได้ เพราะมีจิตสำนึกร่วม

เวลาทำการแข่งขันอะไรต่างๆ จะมีจุดหมายสองด้าน คือเพื่อตัวเองอย่างหนึ่ง และเพื่อชาติร่วมกันอย่างหนึ่ง ส่วนหนึ่ง เป็นความทุกข์เดือดร้อน แต่อีกส่วนหนึ่ง ก็มีความรู้สึกร่วมที่ทำให้เฉลี่ยทุกข์ เห็นอกเห็นใจกัน ทำให้สบายขึ้น และมีพลังร่วมกัน

คนที่มีความรู้สึกร่วมทุกข์กันนั้น จะมีความรู้สึกที่ดีมาทดแทนอย่างหนึ่ง คือ เกิดความอบอุ่นใจ เกิดพลังแข็งขัน และมีความสุขความอิ่มใจจากความรู้สึกนี้

ส่วนในสังคมแบบที่แต่ละคนต่างคนต่างทำ ไม่มีจุดรวมนั้น จะทุกข์มาก ต่างก็ระแวงกันเอง กลายเป็นความทุกข์ที่มาทับถมอยู่ที่แต่ละคน โดยไม่มีส่วนรวมที่จะมาระบายแบ่ง และโอกาสที่จะชนะการแข่งขันก็น้อยด้วย

ตอนนี้จะไม่พูดในระดับบุคคล เมื่อพูดในระดับชาติ ภาระของมนุษย์ยุคนี้มี ๒ ชั้นคือ

๑. ในระบบแข่งขันนี้ แต่ละชาติ แต่ละสังคม พยายามจะเอาชนะกัน ระดับนี้ก็เป็นภาระอยู่แล้ว

๒. แต่เมื่อมองต่อไป การแข่งขันระดับนี้ ถ้าชนะก็คือความพินาศของโลกที่ว่าไปแล้ว เพราะฉะนั้น มนุษย์แต่ละคนจะมีภาระอีกชั้นหนึ่งคือ ทำอย่างไรจะแก้ไขปัญหาของโลกทั้งหมดที่กำลังจะหายนะนี้ และทำให้เกิดสันติสุข คือทำให้โลกนี้อยู่ดี ไม่ใช่เพียงจะเอาชนะในการแข่งขัน

ในระดับที่หนึ่ง ทุกคนคล้ายกับว่า ถูกสังคมบีบคั้นให้จำเป็นต้องเอาชนะ เราจะชนะได้ไหม?

ภาระนี้ก็ขั้นหนึ่งแล้วที่เราจะต้องพยายาม แต่ถ้าชนะ ก็คือการร่วมกันทำลายธรรมชาติ ทำลายโลก

ฉะนั้นก็ต้องคิดอีกขั้นหนึ่ง เป็นภาระขั้นที่สองว่า ทำอย่างไรจะอยู่เหนือชัยชนะ คือนำมนุษย์หรือนำโลกนี้ไปสู่สันติสุข โดยแก้ปัญหาที่เป็นอยู่ รวมทั้งแก้ระบบแข่งขันด้วย

เมื่อต้องทำถึง ๒ ชั้นอย่างนี้ การที่จะข้ามขั้นแข่งขันเอาชนะ ไปสู่ขั้นแก้ปัญหานำมนุษย์สู่สันติสุข ก็เลยยากเหมือนฝัน รู้สึกว่าจะทำไม่ได้ เพราะตัวเองก็กำลังเป็นเหยื่อเขาอยู่ ฉะนั้นก็ต้องรักษาตัวยืนหยัดให้ได้ก่อน

เป็นอันว่า ขั้นที่หนึ่งก็คือ ทำอย่างไรสังคมไทยหรือคนไทยจะยืนหยัดอยู่ได้ ไม่ให้สังคมอื่นเข้ามาครอบงำเอาไปเป็นเหยื่อ ไม่แพ้ในการแข่งขัน สามารถตั้งตัวได้

หรืออย่างดีขึ้นไปกว่านั้นก็คือ ชนะเขาได้ แต่ชนะชนิดที่ว่ามีสำนึกขั้นที่สอง คือ รู้อยู่ว่า ถ้าขืนอยู่ในระบบแข่งขันนี้ ก็คือการทำลายโลกด้วยกัน ฉะนั้น จะต้องระวังตัวไม่ให้ทำลายโลก ให้การชนะของเรานี้มีผลเสียต่อโลกน้อยที่สุด และพร้อมกันนั้น เมื่อตัวชนะได้ ก็พยายามหาทางแก้ปัญหาของโลกอีกด้วย ซึ่งขณะนี้ ในขั้นสอง ไม่มีประเทศไหนทำได้

ฉะนั้น มนุษย์ในยุคนี้จึงต้องรู้และเข้าใจสถานการณ์ รู้ตั้งแต่ว่าตัวเองอยู่ในสภาพอย่างไร อยู่ในความสัมพันธ์อย่างไรกับประเทศอื่น และโลกนี้เป็นอย่างไร

แต่น่าสงสัยว่าสังคมไทยนี้ ไม่รู้เลย ไม่รู้ทั้งสภาพของตัวเองในความสัมพันธ์ระหว่างชาติ และปัญหาของโลกที่เราจะต้องร่วมแก้ไข ซึ่งมีตั้งหลายชั้น ก็ได้แต่หลงระเริงไปแค่ว่าจะให้ได้ผลประโยชน์มาก เสพมาก บริโภคมาก สะดวกสบายให้มาก แล้วก็สมใจตัวอยู่แค่นี้เอง

เป็นอันว่า

๑. ตัวเองได้บริโภคมาก โดยไม่รู้ว่าเป็นเหยื่อเขา

๒. แม้ตัวเองจะขยับขึ้นไป สมมุติว่าเอาชนะระหว่างชาติได้ ก็คือร่วมทำลายโลกอีก

ทีนี้ ทำอย่างไรจะให้คนเกิดมีปัญญารู้เท่าทัน และวางตัวให้ถูก อย่างน้อยเพื่อนำชีวิตไปให้ดีในสภาพอย่างนี้

เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง