โครงสร้างพระไตรปิฎก และความหมายในภาษาอังกฤษ และแนวอภิธรรม ๗ คัมภีร์

สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป. อ. ปยุตฺโต)

โครงสร้างพระไตรปิฎก และความหมายในภาษาอังกฤษ1

บรรยายเมื่อ ๒๘ มกราคม ๒๕๑๕

พระภิกษุผู้สืบต่อพระพุทธศาสนา ควรมีความรู้พอจะอธิบายพระไตรปิฎก ให้บุคคลภายนอกเข้าใจได้ถูกต้อง สามารถพูดให้เห็นภาพได้ทั่ว ยิ่งเป็นพระธรรมทูตมีหน้าที่เผยแพร่พระพุทธศาสนาด้วย ก็ต้องมีความรู้ความเข้าใจมากขึ้น สามารถใช้ศัพท์และคำเรียกต่างๆ ในภาษาที่จะเผยแพร่ให้ถูกต้อง

ในชั่วโมงนี้ แม้จะเป็นการศึกษาพระอภิธรรม แต่หลักธรรมในอภิธรรม ๗ คัมภีร์นั้น ก็เกี่ยวโยงกับธรรมในพระสูตรด้วย จึงควรมองเห็นเค้าโครงกว้างๆ ของพระไตรปิฎกทั้งหมด วันนี้ เราลองมาสำรวจตู้หนังสือพระไตรปิฎกดู ถือเป็นการทบทวนความรู้กันก่อน

พระไตรปิฎก คือ ตำรา ๓ หมวด แปลตามตัวอักษรว่า ตระกร้าหรือกระจาด ๓ ใบ เรียกเป็นภาษาอังกฤษว่า The Three Baskets หรือนิยมเรียกกันว่า The Pali Canon ถ้าเรียกทับศัพท์ตามบาลีก็เป็น Tipitaka สํสกฤตเรียกว่า Tripitaka วรรณคดีสายพระไตรปิฎกนี้ แยกออกเป็น ๒ ประเภท คือ

๑. คัมภีร์พระบาลี หรือ มูลปกรณ์ หมายถึงตัวพระไตรปิฎกเอง อันเป็นที่บรรจุพุทธพจน์

๒. คัมภีร์อรรถวรรณนา ได้แก่ คัมภีร์อธิบายขยายความที่สืบเนื่องออกไป แต่พระไตรปิฎกนั้นมีหลายขั้น แบ่งคร่าวๆ เป็น ๓ ขั้น คือ อรรถกถา ฎีกา ตัพพินิมุต (นอกเหนือจากนั้น)

พระไตรปิฎก แยกออกดังนี้ คือ

  • วินัยปิฎก (Basket of the Discipline)
    ย่อหัวข้อว่า: อา ปา ม จุ ป
    เล่มที่ ๑-๘รวม ๘ เล่ม
  • สุตตันตปิฎก (Basket of the Discourses)
    ย่อหัวข้อว่า: ที ม สํ อํ ขุ
    เล่มที่ ๙-๓๓รวม ๒๕ เล่ม
  • อภิธรรมปิฎก (Basket of the Ultimate Doctrine)
    ย่อหัวข้อว่า: สํ วิ ธา ปุ ก ย ป
    เล่มที่ ๓๔-๔๕รวม ๑๒ เล่ม

รวมทั้งหมด ๔๕ เล่ม

วินัยปิฎก (Basket of the Discipline)

แบ่งออกเป็น ๕ คัมภีร์ คือ

  • เล่ม ๑ อาทิกัมม์ (Major Offences) ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับ อาบัติหนัก (ปาราชิก ถึง อนิยต)
  • เล่ม ๒-๓ ปาจิตตีย์ (Minor Offences) ว่าด้วยสิกขาบทที่เกี่ยวกับ อาบัติเบา (นิสสัคคีย์ ปาจิตตีย์ เป็นต้นไป)
  • เล่ม ๔-๕ มหาวรรค (Greater Section) ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาติโมกข์ ที่มาใน ๑๐ ขันธกะแรก
  • เล่ม ๖-๗ จุลวรรค (Smaller Section) ว่าด้วยสิกขาบทนอกปาติโมกข์ ที่มาใน ๑๒ ขันธกะปลาย
  • เล่ม ๘ ปริวาร (Epitome of the Vinaya) คัมภีร์ คู่มือคำถาม-ตอบ ประกอบการศึกษาพระวินัยปิฎก

วิธีแบ่งอีกอย่างหนึ่ง จัดเป็น ๕ เหมือนกัน คือ

  • เล่ม ๑-๓ รวมเรียกว่าวิภังค์ (Analysis of Classification) ว่าด้วยสิกขาบทที่มาในพระปาติโมกข์
    คัมภีร์นี้ แบ่งย่อยออกไปเป็น ๒ ตอน คือ

    • เล่ม ๑-๒ ภิกขุวิภังค์ (มหาวิภังค์) (Rules for Monks) ว่าด้วยสิกขาบทในปาติโมกข์
    • เล่ม ๓ ภิกขุนีวิภังค์ (Rules for Nuns) ว่าด้วยสิกขาบทในปาติโมกข์ ฝ่ายภิกษุณีสงฆ์
  • เล่ม ๔-๗ รวมเรียกว่า ขันธกะ (chapters) มี ทั้งหมด ๒๒ ขันธกะ จัดเป็น ๒ วรรค คือ
    • มหาวรรค (Greater Section) มี ๑๐ ขันธกะ
    • จุลวรรค (Smaller Section) มี ๑๒ ขันธกะ
  • เล่ม ๘ ปริวาร (Epitome of the Vinaya)

สุตตันตปิฎก (Basket of Discourses)

คือประมวลพระพุทธพจน์ที่ปรากฏในรูปพระธรรมเทศนา ซึ่งทรงแสดงในโอกาสต่างๆ แบ่งออกเป็น ๕ นิกาย คือ

  1. ทีฆนิกาย (Collection of Long Discourses)
  2. มัชฌิมนิกาย (Collection of Medium - Length Discourses)
  3. สังยุตตนิกาย (Collection of Connected Discourses)
  4. อังคุตตรนิกาย (Collection of Gradual Sayings)
  5. ขุททกนิกาย (Collection of Minor Works)

๑. ทีฆนิกาย (Collection of Long Discourses) เป็นชุมนุมหรือที่รวมอยู่แห่งสูตรทั้งหลาย อันมีขนาดยาว มี ๓๔ สูตร จัดเป็น ๓ วรรค ดังนี้

  • ๑.) สีลขันธวรรค (Section Concerned with Morality) เล่ม ๙ มี ๑๓ สูตร
  • ๒.) มหาวรรค (Great Section) เล่ม ๑๐ มี ๑๐ สูตร มีคำขึ้นต้นว่า มหา แทบทั้งนั้น เช่น มหาปรินิพพานสูตร (Discourse on the Great Decease) เป็นสูตรที่มีเนื้อความยาวที่สุด
  • ๓.) ปาฏิกวรรค (Section Beginning with the Patika Sutta) เล่ม ๑๑ มี ๑๑ สูตร

๒. มัชฌิมนิกาย (Collection of Medium-Length Discourses) เป็นที่ชุมนุมหรือรวมอยู่แห่งสูตรทั้งหลาย อันมีขนาดกลาง จัดเป็น ๑๕ วรรค มี ๑๕๒ สูตร

แบ่งเป็น ๓ ปัณณาสก์ Groups of Fifty Discourses

  • ๑.) มูลปัณณาสก์ The First Fifty บั้นต้น ๕๐ สูตร
  • ๒.) มัชฌิมปัณณาสก์ The Middle Fifty บั้นกลาง ๕๐ สูตร
  • ๓.) อุปริปัณณาสก์ The Final Fifty บั้นปลาย ๕๒ สูตร

๓. สังยุตตนิกาย (Collection of Connected Discourses) เป็นชุมนุมหรือที่รวมอยู่แห่งพระสูตรที่จัดเข้าเป็นกลุ่มๆ ตามบุคคลหรือเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง (สังยุต แปลว่า เกี่ยวข้อง)

สูตรใดเป็นเรื่องที่แสดงความเกี่ยวข้องกับผู้ใด หรือธรรมข้อใด ก็รวมมาไว้เป็นกลุ่มเดียวกันแล้วตั้งชื่อตามชื่อของผู้นั้นหรือธรรมข้อนั้นมี ๗,๗๖๒ สูตร (นับแล้วไม่น่าถึง) แบ่งเป็น ๕ วรรค คือ

  • ๑.) สคาถวรรค (Section with Verses เป็นเรื่องโต้ตอบด้วยคาถา เช่น ถามว่าอะไรเป็นแสงสว่างในโลก? ตอบว่า “ปัญญา” เราได้พุทธศาสนสุภาษิตเป็นจำนวนมากจากนี้ (เล่มที่ ๑๕)
  • ๒.) นิทานวรรค (Section on Causation) ว่าด้วยเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท นิทานแปลว่า “เหตุ” (เล่มที่ ๑๖)
  • ๓.) ขันธวารวรรค (Section on the Aggregates) ว่าด้วยขันธ์ ๕ เช่น อนัตตลักขณสูตร (เล่มที่ ๑๗)
  • ๔.) สฬายตนวรรค (Section on the Six Sense-Bases) ว่าด้วยอายตนะ ๖ มี อาทิตตปริยายสูตรเป็นต้น (เล่มที่ ๑๘) ขอให้สังเกตว่า อัพยากตปัญหา (เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่ทรงตอบ) ก็อยู่ในคัมภีร์นี้เป็นส่วนมาก
  • ๕) มหาวารวรรค (Section on Great Item) แสดงธรรมหมวดใหญ่ คือเรื่องโพธิปักขิยธรรม ๓๗ (เล่มที่ ๑๙) พระสูตรในสังยุตตนิกายเหล่านี้ ปรากฏซ้ำอีกมากในอภิธรรม

๔. อังคุตตรนิกาย (Collection of Gradual Sayings) เป็นชุมนุมหรือที่รวมอยู่แห่งพระสูตรที่จัดไว้ตามธรรมที่เกินขึ้นไปแต่ละองค์ๆ คือ จัดลำดับเป็นหมวดๆ ตามจำนวนหัวข้อธรรม นับได้ ๙,๕๕๗ สูตร (บางสูตรสั้นๆ มีข้อความหนึ่ง หรือสองบรรทัด ก็จบเนื้อความ) แบ่งเป็นนิบาต คือ ชุมนุม หรือ หมวด มีทั้งหมด ๑๑ หมวด จัดเป็น ๕ เล่ม (เล่ม ๒๐ - ๒๔) ดังนี้

  1. เอกนิปาต (Groups of Ones)
  2. ทุกนิปาต (Groups of Twos)
  3. ติกนิปาต (Groups of Threes)
  4. จตุกฺกนิปาต (Groups of Fours)
  5. ปญฺจกนิปาต (Groups of Fives)
  6. ฉกฺกนิปาติ (Groups of Sixes)
  7. สตฺตกนิปาต (Groups of Sevens)
  8. อฏฺฐกนิปาต (Groups of Eights)
  9. นวกนิปาต (Groups of Nines)
  10. ทสกนิปาต (Groups of Tens)
  11. เอกาทสกนิปาต (Groups of Elevens)

๕. ขุททกนิกาย เป็นชุมนุมหรือที่รวมเรื่องเบ็ดเตล็ด ที่นับเป็นสูตรได้บ้างมิได้บ้าง มี ๑๕ คัมภีร์ (ชื่อเล็กแต่มีขนาดใหญ่ที่สุด) ดังนี้

  1. ขุททกปาฐะ (Minor Readings) บทสวดเล็กๆ น้อยๆ เป็นที่มาสำคัญของ เจ็ดตำนาน
  2. ธรรมบท (Works of the Doctrine) ๔๒๓ คาถา ตั้งแต่คาถา มโนปุพฺพํ เป็นต้นไป (อรรถกถามี ๘ เล่ม)
  3. อุทาน (Paeans of Joy) เป็นพระดำรัสเปล่งอุทานของพระพุทธเจ้า มีเรื่องนำรวม ๘๐ อุทาน
  4. อิติวุตตกะ (Thus-Said Discourses) เป็นพระสูตรที่ไม่ขึ้นด้วย คำว่า เอวมฺเม สุตํ แต่ขึ้นด้วย วุตฺตญฺเหตํ และจบลง ด้วยคำว่า อิติ วุตฺตํ มีทั้งหมด ๑๑๒ สูตร
  5. สุตตนิบาต (Collection of Suttas) เป็นพระสูตรที่มีลักษณะพิเศษ คือเป็นคาถาล้วนๆ แทบทั้งหมด มีร้อยแก้วเพียง ๒ - ๓ สูตรเท่านั้น
    ปราชญ์บางท่านสันนิษฐานว่า เป็นพระสูตรรุ่นแรกที่มีทั้งหมด ๗๑ สูตร หัวคัมภีร์แรกนี้ จัดเป็นเล่มที่ ๒๕ ในพระไตรปิฎก
  6. วิมานวัตถุ (Stories of Celestial Mansions) เป็นเรื่องแสดงถึงบุพกรรมของเทวดามี ๘๕ เรื่อง
  7. เปตวัตถุ (Stories of Suffering Demons) เป็นเรื่องแสดงถึงบุพกรรมของเปรต มี ๕๑ เรื่อง
  8. เถรคาถา (Verses of the Elders) มี ๒๖๔ องค์ อยู่ในเล่มที่ ๒๖
  9. เถรีคาถา (Verses of the Women Elders) มี ๗๖ องค์ อยู่ในเล่มที่ ๒๖
  10. ชาดก (Birth Stories) ประมวลเรื่องอดีตชาติของพระพุทธเจ้ามีทั้งหมด ๕๔๗ เรื่องอยู่ในเล่มที่ ๒๗ - ๒๘
  11. นิทเทส (Expositions) เป็นคำอธิบายของพระสารีบุตรเถระ ขยายความสูตรต่างๆ ในสุตตนิบาตจัดได้ว่า เป็นต้นแบบของอรรถกถาทั้งหลาย แบ่งเป็น ๒ ตอน คือ
    - ตอนที่ ๑ มหานิทเทส (Greater Expositions) และ
    - ตอนที่ ๒ จูฬนิทเทส (Lesser Expositions)
    อยู่ในเล่มที่ ๒๙-๓๐
  12. ปฏิสัมภิทามรรค (Way of Analytical Knowledge) แปลว่าทางแห่งความแตกฉานแห่งปัญญา มีเรื่อง ฌาน อัปปมัญญา ญาณ อานาปานสติ เป็นต้น ท่านกล่าวว่าเป็นผลงานของพระสารีบุตรเถระอยู่ในเล่มที่ ๓๑
  13. อุปทาน (Lives of Arahants) เป็นประวัติในชาติก่อนๆ ของพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระเถระพระเถรีทั้งหลาย อยู่ในเล่มที่ ๓๒-๓๓
  14. พุทธวงศ์ (History of the Buddhas) แสดงประวัติพระพุทธเจ้า ๒๕ พระองค์ เริ่มตั้งแต่พระพุทธทีปังกร เป็นต้นมา อยู่ท้ายเล่ม ๓๓
  15. จริยาปิฎก (Modes of Conduct) มีนิดเดียว อยู่ในเล่ม ๓๓ เหมือนกัน ว่าด้วยพุทธจริยาในบางเรื่องของชาดก นำมาเล่าใหม่ แต่งไว้ ๓๕ เรื่องแสดงตัวอย่างการทรงบำเพ็ญบารมีต่างๆ เช่น ทานบารมี เป็นต้น

* * * * * * * * * *
ปิดตู้พระไตรปิฎก
เพียงเท่านี้

แนวอภิธรรม ๗ คัมภีร์2

บรรยายเมื่อ ๒๕ กุมภาพันธ์ ๒๕๑๕

ท่านเจ้าคุณอาจารย์ พระศรีวิสุทธิโมลี ได้เปิดสารบรรณเพื่อมองเห็นแนวอภิธรรม ๗ คัมภีร์ ดังนี้

คัมภีร์ที่ ย่อว่า มาจาก อยู่ในเล่มที่
๑. สํ สังคณี ๓๔
๒. วิ วิภังค์ ๓๕
๓. ธา ธาตุกถา ๓๖
๔. ปุ ปุคคลปัญญัตติ ๓๖
๕. กถาวัตถุ ๓๗
๖. ยมก ๓๘-๓๙
๗. ปัฏฐาน ๔๐-๔๕

 

อภิธรรม เป็นคำอธิบายต่อเนื่องแสดงเนื้อหาทางวิชาการแท้ๆ นำธรรมในสุตตันตปิฎกมาอธิบายอย่างมีระเบียบ จัดเป็นข้อๆ เป็นเรื่องๆ ไป

สุตตันตปิฎก มีเนื้อหาไม่ปะติดปะต่อกัน กล่าวถึงเรื่องหนึ่งจบแล้ว ก็ไปพูดเรื่องอื่นต่อไป สุดแต่จะมีบุคคลหรือเหตุการณ์อะไรมาเกี่ยวข้อง ซึ่งอาจจะไม่เกี่ยวกับเรื่องแรกๆ เลย

คัมภีร์ที่ถือว่าสำคัญที่สุดในอภิธรรม คือเล่มหัวและเล่มท้าย ท่านกล่าวไว้ว่าใครเข้าใจเล่มท้ายคือ ปัฏฐาน ก็แปลว่าเข้าใจธรรมหมด เพราะเป็นคัมภีร์ที่มีอรรถอันลึกซึ้งและมีขนาดใหญ่จริงๆ ๖ เล่มแรกรวมกันแล้วก็ยังเล็กกว่าปัฏฐาน

คัมภีร์ที่ ๑. สังคณี หรือ ธัมมสังคณี (Enumeration of the Dhammas)

คัมภีร์นี้มี มาติกา (Matrix or Schedule) เป็นบทนำ แล้วแจกออกเป็น ๔ กัณฑ์ ดังนี้

  • ๑) จิตตุปปาทกัณฑ์ (Chapter on the arising of consciousness)
  • ๒) รูปกัณฑ์ (Chapter on corporeality)
  • ๓) นิกเขปกัณฑ์ (Chapter on summary)
  • ๔) อัตถุทธารกัณฑ์ (Chapter on synopsis)

มาติกา คือ แม่บท เป็นหัวข้อใหญ่ซึ่งเป็นต้นแบบสำหรับนำไปขยายความสรุปธรรมะให้เหลือหัวข้อน้อยๆ แต่กินความมากๆ เช่น ธรรมะทั้งหมด เมื่อย่อลงแล้วก็เหลือสังขตธรรมและอสังขตธรรมเท่านั้นเป็นมาติกาหนึ่ง หรือโลกียธรรม กับโลกุตตรธรรม ก็เป็นมาติกาหนึ่ง หรือ กุศลธรรม อกุศลธรรม อัพยากตธรรมก็เป็นแม่บทคือมาติกาหนึ่ง ดังนี้เป็นต้น

มาติกา มีทั้งหมด ๑๖๔ ชุด แบ่งออกเป็น ๒ พวก คือ

  • ทุกมาติกา (หมวด ๒) (Dyad) มี ๑๔๒ ชุด
  • ติกมาติกา (หมวด ๓) (Triad) มี ๒๒ ชุด

ทุกมาติกา แยกย่อยเป็น ๒ แบบ คือ

  • แบบอภิธรรม มี ๑๐๐ คู่ รวมเรียก อภิธัมมมาติกา
  • แบบพระสูตร มี ๔๒ คู่ รวมเรียก สุตตันตมาติกา ส่วนมากเป็นพวกรวมความหมายไว้ไม่หมด (ไม่ comprehensive)

ติกมาติกา มี ๒๒ ชุด คือหมวดที่เรานำใช้เป็นบทสวด เรียกกันว่า สวดมาติกา

ขยายความ

๑. จิตตุปปาทกัณฑ์ บทที่ว่าด้วยการเกิดของจิต เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า Chapter on consciousness and its concomitants คือบทที่ว่าด้วยจิตและเจตสิก แสดงควบกันไป เพราะจิตต้องมีเจตสิกเกิดขึ้นพร้อมด้วยเสมอ

๒. รูปกัณฑ์ บทที่ว่าด้วยรูป ในบทนี้ขอให้สังเกตไว้ว่า หทัยวัตถุ ไม่มีในอภิธรรมปิฎกเลย

กัณฑ์ที่ ๑ และ ๒ แสดงจบปรมัตถธรรม ๔ (จิต เจตสิก รูป นิพพาน)

กัณฑ์ที่ ๒ ได้กล่าวถึง นิพพาน เพียงครั้งเดียว ในคำว่า อสงฺขตา จ ธาตุ

๒ กัณฑ์นี้อธิบายมาติกา ธรรมสังคณี หมดแค่มาติกาที่ ๑ เท่านั้น คือ อยู่ในหัวข้อ กุสลา ธมฺมา อกุสลา ธมฺมา อพฺยากตา ธมฺมา คืออะไร เท่านั้น

๓. นิกเขปกัณฑ์ เป็นการแสดงคำจำกัดความโดยย่อของธรรมในมาติกาทั้งหมด เช่น

สงฺขตา ธมฺมา คือ ธรรมใน ขันธ์ ๕

อสงฺขตา ธมฺมา คือ ธรรมที่พ้น ขันธ์ ๕ แล้ว เป็นต้น

ต้องการทราบความหมายของธรรมอะไร ก็ไปเปิดดูในกัณฑ์ที่ ๓ นี้จะเข้าใจดี มี ๑๖๔ ชุดด้วยกัน

๔. อัตถุทธารกัณฑ์ บทที่แสดงคำจำกัดความเหมือนกัน แต่แสดงต่างแนวกันไป ให้คำจำกัดความเพียงอภิธรรมมาติกาเท่านั้น มี ๑๒๒ ชุด (ไม่ครบเหมือนนิกเขปกัณฑ์) เป็นคำอธิบายของพระสารีบุตรเถระ มีชื่อเรียกอีกอย่างหนึ่งว่า อัฏฐกถากัณฑ์ คือเป็นการแก้ความของมาติกาในแบบอรรถกถา (พระสารีบุตรเถระเป็นต้นแบบของการแต่งคัมภีร์แบบอรรถกถา เพราะท่านได้แต่งคัมภีร์นิทเทส ปฏิสัมภิทามัคค์ นิทเทสเป็นคำอธิบายสุตนิบาตซึ่งเป็นพุทธพจน์ จึงถือว่าท่านเป็นผู้มีความคิดริเริ่มในการแต่งอรรถกถาและท่านเป็นผู้แสดงสังคีติสูตรจึงถือว่าท่านเป็นผู้ริเริ่มความคิดในการสังคายนา)

คัมภีร์ที่ ๒ วิภังค์ (Analysis of the Dhammas)

เนื้อหาแบ่งออกเป็น ๑๘ บท แต่ละบทต่อท้ายด้วยคำว่า วิภังค์ (การจำแนกแยกแยะ) หลักธรรมะใหญ่ๆ มีอยู่ในวิภังค์ทั้งสิ้น คัมภีร์นี้เป็นประโยชน์แก่การศึกษาพระสูตรด้วย หลักธรรมะที่อธิบายก็เป็นประเภทที่เรียกว่า ปัญญาภูมิ อันเป็นหลักธรรมที่ช่วยให้เกิดประโยชน์ในการเจริญวิปัสสนา เห็นสภาวะความเป็นจริง แบ่งออกดังนี้

๑. ขันธ์ ๕ (Aggregates)

๒. อายตนะ ๑๒ (Sense-bases)

๓. ธาตุ ๑๘ (Elements)

๔. สัจจะ ๔ (Truths)

๕. อินทรีย์ ๒๒ (Faculties or Controlling faculties)

๖. ปัจจยาการ (ปฏิจจสมุปบาท) ๑๒ (Dependent origination)

ต่อไปเป็นธรรม ภาคปฏิบัติ

๗. สติปัฏฐาน ๔ (Foundations of mindfulness)

๘. สัมมัปปธาน ๔ (Right striving)

๙. อิทธิบาท ๔ (Bases of accomplishment)

๑๐. โพชฌงค์ ๗ องค์แห่งการตรัสรู้ (Enlightenment factors)

๑๑. ฌาน ๔ (Absorptions)

๑๒. มรรค ๘ (Path factors)

๑๓. อัปปมัญญา ๔ (Ilimitables)

๑๔. สิกขาบท (เบญจศีล ๕) (Precepts or Training rules)

ต่อไปเป็นผลของการปฏิบัติและเบ็ดเตล็ด

๑๕. ปฏิสัมภิทา (ปัญญาแตกฉาน) ๔ (Analytic insight)

๑๖. ญาณ ๑๐ (Knowledge)

๑๗. ขุททกวัตถุ (Small items) อกุศลธรรม เช่น อาสวะ-กิเลส-สังโยชน์-โอฆะ ฯลฯ

๑๘. ธัมมหทัย แสดงข้อธรรมสำคัญๆ ที่เป็น Heart of the teaching or doctrine

ตัวสภาวะ หลายข้อซ้ำกับวิภังค์ต้นๆ เป็นการทวนไปด้วยในตัว วิธีอธิบาย แบ่งเป็น ๓ ตอนในแต่ละบท

ก. สุตตันตภาชนีย์ การอธิบายตามแบบพระสูตร (Analysis according to the discourses) ลอกมาจากพระสูตร

ข. อภิธัมมภาชนีย์ การอธิบายตามแบบอภิธรรม (Analysis according to the Abhidhamma)

ค. ปัญหาปุจฉกะ ถาม-ตอบปัญหา (Interrogation or Catechism)

มาติกากลับมาใช้การอีก ณ ตอนนี้

๑. ติกมาติกา ๒๒ (Triad or Triplet)

๒. ทุกมาติกา ๑๐๐ (Dyad or Couplet)

ถ้ามีปัญหา ก็มาตัดสินได้ด้วยมาติกาในตอนนี้ ทุกปัญหาตัดสินด้วย ๑๒๒ มาติกา เช่น อะไรเป็นกุศล อกุศล อัพยากฤต เป็นต้น

คัมภีร์ที่ ๓ ธาตุกถา (Discourse on the elements)

คัมภีร์นี้ ถือ ขันธ์ อายตนะ ธาตุ เป็นหลัก มีธรรมอีก ๑๖ หมวดเป็นบริวาร ธรรมข้อใดๆ จักต้องจัดเข้าในหลักสามหลักนั้น แสดงให้เห็นว่าจัดเข้าได้หรือไม่ เรียกว่า สงฺคโห แปลว่า สงเคราะห์ได้ อสฺงคโห แปลว่า สงเคราะห์ไม่ได้ ดังนี้เป็นต้น

ตัวอย่างเช่น

รูปขันธ์ สงเคราะห์เข้าในขันธ์ได้ไหม? อายตนะได้ไหม? ธาตุได้ไหม?

ถ้าตอบว่าเข้าได้ ก็ต้องสงเคราะห์ให้เห็นว่าเข้าในข้อไหนได้

จึงเรียกคัมภีร์นี้เต็ม ตามชื่อว่า “ขนฺธายตนธาตุกถา

แต่เนื่องจากชื่อยาวนัก จึงตัดออกเหลือเพียง “ธาตุกถา” เป็นภาคต้นของคัมภีร์ เล่มที่ ๓๖

ธรรม ๑๖ ข้อ

  1. สติปัฏฐาน ๔ (Foundations of mindfulness)
  2. สมัปปธาน ๔ (Right striving)
  3. อิทธิบาท ๔ (Bases of accomplishment)
  4. ฌาน ๔ (Absorptions)
  5. อัปปมัญญา ๔ (Illimitables or Unbounded states)
  6. อินทรีย์ ๕ (Faculties)
  7. พละ ๕ (Powers)
  8. โพชฌงค์ ๗ (Enlightenment factors)
  9. มรรคมีองค์ ๘ (Noble eightfold path)
  10. ผัสสะ (Impression or Contact)
  11. เวทนา (Feeling)
  12. สัญญา (Perception)
  13. เจตนา (Volition)
  14. จิต (๘๙-๑๒๑) (Consciousness)
  15. อธิโมกข์ ๑ (Decision)
  16. มนสิการ ๑ (Attention)

ธรรมข้อ ๑๐-๑๖ ยังไม่ต้องแยกจำนวน คือกล่าวรวมๆ เป็นข้อเดียวไปก่อน

คัมภีร์ที่ ๔ ปุคคลปัญญัตติ (Description of individuals)

บัญญัติ ๖

  1. ขันธ์ ๕ (Aggregates)
  2. อายตนะ ๑๒ (Bases)
  3. ธาตุ ๑๘ (Elements)
  4. อินทรีย์ ๒๒ (Faculties)
  5. สัจจะ ๔ (Truths)
  6. บุคคล (Individuals)

คัมภีร์นี้ไม่บรรยายใน ๕ ข้อต้น บรรยายแต่ข้อที่ ๖ จึงได้ตั้งเป็นชื่อคัมภีร์เสียเลย

บัญญัติ ๕ ข้อต้น ได้บรรยายไว้ในวิภังค์หมดแล้ว จึงไม่บรรยายถึงอีก

บัญญัติ คือคำจำกัดความให้ความหมายแก่ชื่อบุคคล เช่น อรหันต์คืออะไร? ตอบว่า คือผู้ที่ได้กำจัดสัญโญชน์หมดสิ้นแล้ว เป็นการบัญญัติความหมายที่เกี่ยวกับบุคคลทั้งนั้น จึงมีประโยชน์มากในการศึกษาเรื่องบุคคลผู้เกี่ยวข้องในธรรมะชั้นสูงว่า มีความหมายอย่างไร

ท่านแบ่งออกเป็น ๑๐ หมวด หมวด ๑ คน ถึง หมวด ๑๐ คน นำบุคคลมาให้คำจำกัดความตามลำดับจำนวนรวมทั้งหมดได้ ๑๔๒ กลุ่ม แยกเป็นบุคคลได้ ๓๘๖ คน คล้ายในพระสูตรหลายสูตรแห่งอังคุตตรนิกาย แต่มีเลขถึง๑๐ เท่านั้น (อังคุตตรนิกายหมวดสุดท้ายมีถึง ๑๑) เป็นประโยชน์สำหรับผู้ที่ต้องการความหมายกะทัดรัด เป็นคัมภร์ที่เล็กที่สุด รวมอยู่ด้วยกันกับธาตุกถาในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖ ซึ่งยาวเพียงราว ๒๐๐ หน้าเท่านั้น (ต้องเอากระดาษเปล่ามาเสริม) ไม่ใช่ absolute truth แต่เป็น conventional truth

คัมภีร์ที่ ๕ กถาวัตถุ (Subjects of discussion)

แปลตามตัวหนังสือว่า เป็นเรื่องที่นำมาอภิปรายกัน แต่จะเข้าใจความหมายจริงๆ ต้องทราบเรื่องที่มีมาว่า เมื่อพุทธศตวรรษที่ ๓ พุทธศาสนาแตกออกเป็น ๑๘ นิกาย (เถรวาทเป็นนิกายหนึ่งในนั้น) จึงทำให้เกิดการสังคายนาครั้งที่ ๓ ขึ้น โดยพระโมคคัลลีบุตรติสสเถระเป็นประธาน เพื่อแสดงว่านิกายอีก ๑๗ นิกายนั้นผิด เถรวาทเท่านั้นถูก จึงสร้างคัมภีร์กถาวัตถุขึ้นเพื่อแก้ความคิดเห็นที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ให้เป็น สัมมาทิฏฐิ เป็นการอภิปรายกันแบบปุจฉาวิสัชชนา ที่เรียกว่า สกวาทีปรวาที (เถรวาทชนะทุกทีไป) ทั้งหมดนี้นำมารวมไว้และตอบแก้มี ๒๑๙ เรื่อง จึงมี ๒๑๙ กถา อ้างคัมภีร์ในพระสูตรมาสนับสนุนเป็นส่วนมาก จัดวรรคได้ ๒๓ วรรค

คัมภีร์นี้เกิดขึ้นในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช ระหว่าง พ.ศ. ๒๑๘ ถึง ๒๓๖ เป็นคัมภีร์ที่แสดงความเห็นที่แตกแยกออกไป (Points of Controversy) พร้อมทั้งเหตุผลหักล้างความเห็นแตกแยกเหล่านั้น

คัมภีร์ที่ ๖ ยมก ธรรมที่แสดงโดยตั้งคำถามเป็นคู่ๆ (The Book of pairs)

เป็นการแสดงเหตุผลแบบตรรกศาสตร์ โดยตั้งคำถามเป็นคู่ๆ มี ข้อความย้อนกัน เช่น

ตัวอย่างที่ ๑

กุศลธรรมทั้งปวงเป็นกุศลมูล (อโลภะ อโทสะ อโมหะ) ? หรือ กุศลมูลทั้งปวงเป็นกุศลธรรม?

คำตอบก็คือ กุศลมูลทั้งปวงเป็นกุศลธรรม แต่กุศลธรรมทั้งปวงไม่ใช่กุศลมูลทั้งหมด

ตัวอย่างที่ ๒

รูปขันธ์ทั้งปวงเป็นรูป? หรือ รูปทั้งปวงเป็นรูปขันธ์?

คำตอบก็คือ รูปขันธ์ทั้งปวงเป็นรูป แต่รูปทั้งปวงไม่ใช่รูปขันธ์ทั้งหมด

เป็นการนำให้ใช้ความคิดเทียบเคียงหาเหตุผล โดยยกธรรมคู่หนึ่งขึ้นมาตั้งเป็นปัญหา แล้วนำคู่นั้นมากลับกัน แล้วตั้งคำถามซ้ำอีกครั้งเพื่อให้เข้าใจลึกซึ้งชัดลงไปทั้งสองแง่ มี ๑๐ บท คือ

  1. มูลยมก (Pairs of roots)
  2. ขันธยมก (Pairs of aggregates)
  3. อายตนยมก (Pairs of bases)
  4. ธาตุยมก (Pairs of elements)
  5. สัจจยมก (Pairs of truths)
  6. สังขารยมก (Pairs of formations)
  7. อนุสัยยมก (Pairs of dispositions)
  8. จิตตยมก (Pairs of consciousness)
  9. ธรรมยมก (Pairs of Dhamma)
  10. อินทรีย์ยมก (Pairs of faculties)

วิธีการตั้งคำถาม แบ่งออกเป็น ๓ ตอน ดังนี้

๑. ปัญญัติวาร (Section on delimitation) ว่าด้วยการวางหลักหรือแสดงความหมายหลัก แบ่งออกเป็น ๒ ส่วน คือ

ก. อุทเทสวาร (Enumeration) ยกคำถามขึ้นตั้ง

ข. นิทเทสวาร (Answer) ไขความ คือ ตอบคำถาม

๒. ปวัตติวาร (Section on the process) ว่าด้วยกระบวนความเป็นไปของธรรมนั้นๆ แบ่งออกเป็น ๓ ส่วน คือ

ก. อุปปาทวาร (Arising) แสดงความเกิดว่าธรรมนั้นเกิดแก่ใคร ในที่ใดบ้าง เช่น

รูปขันธ์เกิดแก่ผู้ใด เวทนาขันธ์เกิดแก่ผู้นั้นด้วยหรือ?
ตอบ ไม่เสมอไป ถ้ารูปขันธ์เกิดแก่อสัญญีสัตว์ก็จะไม่เกิดเวทนาขันธ์ หรือ

เวทนาขันธ์เกิดแก่ผู้ใด รูปขันธ์เกิดแก่ผู้นั้นด้วย?
ตอบ ไม่แน่เช่นกัน เพราะรูปพรหมเกิดเวทนาขันธ์ได้โดยไม่มีรูปขันธ์

ข. นิโรธวาร (Cessation or Extinction) แสดงความดับว่า ดับ แก่ใคร ที่ใด เป็นต้น

ค. อุปปาทนิโรธวาร (Arising and extinction) แสดงทั้งความเกิด และความดับ

๓. ปริญญาวาร (Section on penetration) ว่าด้วยการกำหนดรู้

แสดงให้เห็นความรู้ในธรรมข้อหนึ่งๆ ที่เนื่องกันกับความรู้ในธรรมข้ออื่นๆ

คัมภีร์ที่ ๗ ปัฏฐาน (The Book of relations)

เป็นคัมภีร์ที่แสดงปัจจัยของธรรม ๒๔ แบบ ใหญ่มาก จึงเรียก มหาปกรณ์ (The Great Book)

แสดงความสัมพันธ์ของสิ่งทั้งหลายทุกแง่ทุกมุม ว่ามีเหตุมาจากอะไร เป็นปัจจัยแก่อะไร มีความสัมพันธ์แก่กันอย่างไรบ้าง เน้นให้เห็นว่า ธรรมทั้งหลายไม่ได้เป็นอยู่มีอยู่โดยตัวของตัวเอง ต้องเป็นอยู่มีอยู่ด้วยเหตุด้วยปัจจัย ช่วยรับรองหลักปฏิจจสมุปบาทให้ชัดยิ่งขึ้น ช่วยให้เรามองดูโลกและตัวเราเองได้ชัดเจนและถูกต้อง จึงเป็นคัมภีร์ที่ให้ความแจ่มกระจ่างแก่ผู้ศึกษาพุทธธรรมเพื่อแทงตลอดความจริง

ยกตัวอย่างเช่น โลภะเป็นปัจจัยให้เกิดโทสะได้โดยปัจจัยอะไร? เหมือนกับเราศึกษาว่า ต้นไม้กับเมล็ดพืชมีความสัมพันธ์แก่กันโดยเป็นปัจจัยแก่กัน อย่างไร ดินกับน้ำ ตากับรูป ฯลฯ เป็นต้น

สอนให้รู้จักใช้ปัญญาโดยบริสุทธิ์ เพื่อเห็นตัวเหตุด้วยตัวผลตัวปัจจัยที่ต้องอาศัยกันและกันอย่างไรบ้าง

แนวทางที่จะตั้งปัญหานั้น คือตั้งคำถามเป็นรอบๆ ไปตามหลักดังนี้

ใช่กับใช่ ไม่ใช่กับไม่ใช่

ใช่กับไม่ใช่ ไม่ใช่กับใช่

แต่ละอย่างนี้ คูณด้วยปัจจัย ๒๔ คูณด้วยมาติกา ๑๒๒ ชุด (อภิธรรมมาติกา) เท่ากับปัญหารอบหนึ่งต้องถามนับหมื่นครั้ง ต่อไปนี้จะแสดงปัจจัย ๒๔ คือ

  1. เหตุปัจจัย (Root - condition)
  2. อารัมมณปัจจัย (Object - condition)
  3. อธิปติปัจจัย (Dominance - condition)
  4. อนันตรปัจจัย (Proximity - condition)
  5. สมนันตรปัจจัย (Immediacy - condition)
  6. สหชาตปัจจัย (Co-Nascence - condition)
  7. อัญญมัญญปัจจัย (Mutuality - condition)
  8. นิสสยปัจจัย (Support - condition)
  9. อุปนิสสยปัจจัย (Decisive - support - condition)
  10. ปุเรชาตปัจจัย (Pre-Nascence - condition)
  11. ปัจฉาชาตปัจจัย (Post-Nascence - condition)
  12. อาเสวนปัจจัย (Recurrence - condition)
  13. กัมมปัจจัย (Kamma - condition)
  14. วิบากปัจจัย (Result - condition)
  15. อาหารปัจจัย (Nutriment - condition)
  16. อินทรียปัจจัย (Faculty - condition)
  17. ฌานปัจจัย (Absorption - condition)
  18. มัคคปัจจัย (Path - condition)
  19. สัมปยุตตปัจจัย (Association - condition)
  20. วิปยุตตปัจจัย (Dissociation - condition)
  21. อัตถิปัจจัย (Presence - condition)
  22. นัตถิปัจจัย (Absence - condition)
  23. วิคคตปัจจัย (Disappearance - condition)
  24. อวิคคตปัจจัย (Non-Appearance - condition)

ตอนนี้ ถึงวาระที่ต้องนำ มาติกา มาแสดงอีกครั้งหนึ่ง แสดงในรูปรับและปฏิเสธ ดังนี้

  1. อนุโลมปัฏฐาน (Relation according to positive method)
  2. ปัจจนียปัฏฐาน (Relation according to negative method)
  3. อนุโลมปัจจนียปัฏฐาน (Relation according positive - negative method)
  4. ปัจจนียอนุโลมปัฏฐาน (Relation according negative - positive method)

และยังมีการถาม-ตอบ ในหมวดเดียว และสลับหมวดกันอีก ดังนี้

  1. ติกปัฏฐาน (Origination of triads)
  2. ทุกปัฏฐาน (Origination of dyads)
  3. ทุก-ติกปัฏฐาน (Origination of dyads & triads combined)
  4. ติก-ทุกปัฏฐาน (Origination of triads & dyads combined)
  5. ติก-ติกปัฏฐาน (Origination of triads & triads combined)
  6. ทุก-ทุกปัฏฐาน (Origination of dyads & dyads combined)

จับหลักได้จะทราบแนวทั้งหมด

คุยกับท่านผู้อ่าน

หนังสือเล่มนี้ ท่านเจ้าคุณอาจารย์พระธรรมปิฎกได้ไปบรรยายให้ภิกษุสามเณรฟัง ณ วัดบวรนิเวศวิหาร เมื่อปี พ.ศ.๒๕๑๕ อย่างน่าทึ่ง คือท่านบรรยายรวดเดียว โดยมิได้อาศัยคู่มืออะไรเลย สัญญาขันธ์ของท่านทำงานอย่างอิสระ แจ่มแจ้ง ไม่ยืดยาด ฟังเพลิน จดเพลิน มองเห็นโครงสร้างของพระไตรปิฎกชัดเจน สามารถนำไปใช้ได้อย่างแม่นยำไม่เสียเวลา คิดถึงพระคุณท่านเสมอมา

บัดนี้ล่วงกาลผ่านวัยมานาน ๒๕ ปีแล้ว จึงควรที่จะนำมาเผยแผ่ต่อ ต้นฉบับได้เคยนำไปขอให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์ตรวจแล้ว ท่านได้กรุณาแก้ไขข้อผิดพลาดให้ด้วยเมื่อครั้งฟังมาใหม่ๆ ขอกราบขอบพระคุณท่านด้วยความสำนึกในความเป็นครูอาจารย์ที่เมตตาให้ธรรมะแก่ศิษย์ตลอด ๒๕ ปีมานี้

ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ นี้ ท่านเจ้าคุณอาจารย์กำลังย่างเข้าสู่วัยที่สมมติกันตามปฏิทินว่า “๕๙” ในวันที่ ๑๒ มกราคมนี้ จึงกราบขออนุญาตท่านทางจิต ให้กลุ่มขันธ์ห้าได้จัดพิมพ์ถวายเป็นการแสดงความกตัญญูกตเวทิตาธรรม ต่อท่านผู้เป็นครูอาจารย์ และเป็นธรรมบรรณาการต่อศิษย์ร่วมอาจารย์ที่รู้จักบ้างไม่รู้จักกันบ้าง เพื่อเพิ่มวิสัยทัศน์ให้โปร่งใสแจ่มแจ้ง ช่วยให้เพื่อนร่วมอาจารย์ทั้งหลายได้สะดวกสบายในการศึกษาพระไตรปิฎกต่อไป

ด้วยกุศลเจตนานี้ ศิษย์กลุ่มขันธ์ห้า ขออาราธนาท่านเจ้าคุณอาจารย์ มีชีวิตอันสมบูรณ์ที่ใจบรรลุอยู่แล้ว และมีสุขภาพสมดุลด้วยอานุภาพแห่งกุศลผลบุญที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้ทำตลอดมา และจะทำตลอดไป อีกทั้งพลังแห่งกุศลจิตของศิษย์ทุกคนก็จะเป็นปัจจัยให้ท่านเจ้าคุณอาจารย์อันเป็นที่เคารพบูชาของพวกเรา อยู่อย่างแข็งแรงครบ ๘๐ ปี เท่าพระบรมศาสดานั้นเทียว

กราบงามๆ มา ๓ ครั้ง
จากศิษย์กลุ่มขันธ์ห้า
๒๓ มกราคม ๒๕๔๐

ป.ล. เสียดายที่หนังสือนี้พิมพ์ไม่ทันได้ถวายท่านเจ้าคุณอาจารย์แจกในวันงาน แต่ก็ได้ถวายในวันที่ ๒๖ เดือนเดียวกัน หวังว่าท่านผู้อ่านจะได้รับประโยชน์อย่างยิ่ง

1เนื้อหาเรื่องนี้เป็นการถอดบทบรรยายโดยญาติโยมผู้ฟัง อาจมีความผิดพลาดในการฟัง, จับความ, สะกดคำศัพท์ จำนวนไม่น้อย จึงควรใช้เพียงเพื่อเรียนรู้เบื้องต้น ได้เห็นภาพรวมอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษาต่อในรายละเอียด ไม่ควรใช้เนื้อหานี้เป็นข้อมูลอ้างอิง
อนึ่ง เนื้อหาในเว็บไซต์แห่งนี้ ได้รับจัดรูปแบบอักษรและย่อหน้าต่างจากต้นฉบับเดิม ตามความจำเป็นของสื่อเว็บไซต์ และเพื่อความสะดวกในการอ่าน
2เนื้อหาเรื่องนี้เป็นการถอดบทบรรยายโดยญาติโยมผู้ฟัง อาจมีความผิดพลาดในการฟัง, จับความ, สะกดคำศัพท์ จำนวนไม่น้อย จึงควรใช้เพียงเพื่อเรียนรู้เบื้องต้น ได้เห็นภาพรวมอย่างรวดเร็ว เพื่อศึกษาต่อในรายละเอียด ไม่ควรใช้เนื้อหานี้เป็นข้อมูลอ้างอิง
อนึ่ง เนื้อหาในเว็บไซต์แห่งนี้ ได้รับจัดรูปแบบอักษรและย่อหน้าต่างจากต้นฉบับเดิม ตามความจำเป็นของสื่อเว็บไซต์ และเพื่อความสะดวกในการอ่าน
เนื้อหาในเว็บไซต์นอกเหนือจากไฟล์หนังสือและไฟล์เสียงธรรมบรรยาย เป็นข้อมูลที่รวบรวมขึ้นใหม่เพื่อช่วยในการศึกษาค้นคว้าของผู้สนใจ โดยมิได้ผ่านการตรวจทานจากสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์
ผู้ใช้พึงตรวจสอบกับตัวเล่มหนังสือหรือเสียงธรรมบรรยายต้นฉบับก่อนนำข้อมูลไปใช้ในการอ้างอิง