พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ในโอกาสนี้กระผม พล.ต.ท.อุดม เจริญ ผู้ช่วยผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ และคณะ ซึ่งได้เดินทางมา ณ โอกาสนี้ เพื่อจะกราบนมัสการ ในการที่ได้มีมติคณะรัฐมนตรี ซึ่งได้อนุมัติให้กระผมไปดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ในวันที่ ๑ ตุลาคมนี้
กระผมมีความรู้สึกเป็นสิริมงคลยิ่ง แต่ในขณะเดียวกัน ก็รู้ว่าตัวเองมีความรู้น้อย ปัญญาน้อย จึงใคร่มากราบขอความเมตตาจะได้ช่วยกรุณาแนะนำสั่งสอน ในโอกาสที่กระผมจะไปดำรงตำแหน่งนี้ว่า จะมีแนวทางประการใด ที่จะทำให้พระพุทธศาสนามีความเจริญรุ่งเรือง ในหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แค่ไหน เพียงใด
กระผมใคร่ขอกราบอยากขอคำแนะนำ ขอความเมตตาได้ช่วยโปรดกรุณาแนะนำกระผมในประเด็นดังกล่าว สุดแต่จะเห็นเป็นการสมควร
พระธรรมปิฎก: ขออนุโมทนาท่าน พล.ต.ท.อุดม เจริญ พร้อมทั้งคณะ ที่ได้มารับงานพระศาสนาที่สำคัญ
ที่จริงนั้น ตัวท่านนายพลเองก็มีประสบการณ์มามาก ในเรื่องของงานพระศาสนา โดยเฉพาะเจาะจงที่เรื่องของการศึกษา-ปฏิบัติ เห็นได้ชัดตอนที่ท่านเป็นผู้บัญชาการศึกษา ในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ท่านมีความเอาใจใส่ให้ตำรวจได้รับการศึกษาอบรมในเรื่องธรรมะอย่างมากมาย อันนี้ก็เป็นประสบการณ์สำคัญ ซึ่งเป็นพื้นฐานในการทำงาน
ทั้งนี้ โดยส่วนตัวท่านเอง เป็นผู้ที่สนใจในเรื่องการปฏิบัติอยู่แล้ว ก็เพราะท่านเองสนใจโดยส่วนตัวนั่นแหละ จึงนำมาสู่การเห็นคุณค่าและประโยชน์ แล้วก็อยากจะให้ประโยชน์นั้นเกิดขึ้นแก่ผู้อื่น ซึ่งหมายถึงชีวิตของผู้ที่เกี่ยวข้องในความรับผิดชอบตอนนั้น ก็คือตำรวจทั้งหลาย และกว้างออกไปคือสังคมประเทศชาติ จึงได้ขวนขวายในเรื่องการจัดการศึกษาอบรมอย่างที่กล่าว
ประสบการณ์นั้นเป็นเรื่องสำคัญทีเดียว จะมาเป็นทุนก็ได้ เป็นฐานก็ได้ ในการทำงานของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต่อไป เพราะว่า ในงานพระศาสนานั้น โดยเนื้อหาสาระแล้ว การศึกษาหรือการศึกษาปฏิบัตินี้ เป็นเนื้อแท้ และงานที่ท่านทำก็ตรงทีเดียว
การที่เราจัดอะไรต่างๆ ขึ้นมา เป็นกิจกรรม ตลอดจนแม้แต่เรื่องวัตถุมากมาย ความจริงสาระสำคัญก็รวมเป็นอันเดียวกัน เข้าหลักว่างานพระศาสนาทั้งหมดนี้ จะต้องมองให้เห็นระบบสัมพันธ์ว่าที่แท้นั้นเป็นเรื่องเดียว
ถ้าเรามองดูวัด จะมองที่พระก่อนก็ได้ พระเป็นตัวบุคคลที่อยู่ในวัด บางทีเรียกว่า ศาสนบุคคล ที่เป็นแกนของพุทธบริษัท พระที่อยู่ในวัด ถ้าว่าโดยสาระที่แท้แล้วมี ๒ คือผู้สอน กับผู้เรียน บางท่านอาจจะบอกว่า มีผู้ปกครอง เช่น เจ้าอาวาส แต่ที่จริงผู้ปกครองเป็นเพียงผู้มาช่วยจัดสรรดูแลหรือจัดการเพื่อให้การศึกษาดำเนินไปได้ดี เท่านั้นเอง
ในทางพระศาสนานั้น พระพุทธเจ้าทรงตั้งสังฆะขึ้นมา ก็เพื่อเป็นชุมชนที่คนจะได้มาพัฒนาตนด้วยไตรสิกขา จึงมาอยู่กันในวัด การตั้งวัดขึ้นนั้น ก็เพื่อจัดให้มีสภาพแวดล้อม บรรยากาศ ระบบความสัมพันธ์ ที่เอื้อต่อการที่แต่ละท่านแต่ละบุคคล จะได้พัฒนาตนขึ้นมาด้วยการศึกษา ที่เรียกว่าไตรสิกขาเท่านั้นเอง
เมื่อศึกษาไปโดยถูกต้องตามหลักไตรสิกขา ก็เป็นการปฏิบัติที่ทำให้ก้าวไปจนได้เป็นพระอริยบุคคล คือเป็นพระเสขะ จนกระทั่งเป็นพระอรหันต์ก็จึงเป็นอเสขะจบการศึกษา ถ้ายังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ก็ถือว่ายังต้องศึกษาทั้งนั้น ถึงจะเป็นพระอายุ ๑๐๐ ปี มีพรรษา ๘๐ หรือแม้มากกว่านั้น ก็ต้องศึกษา ชีวิตพระเป็นชีวิตของการศึกษาอย่างเดียว ต้องฝึกฝนพัฒนาตนเรื่อยไป
การที่มีการปกครอง เริ่มตั้งต้นแต่บวชเข้ามา พระอุปัชฌาย์ก็คือ ผู้ที่มาทำหน้าที่ให้การศึกษาอย่างใกล้ชิด การปกครองก็คือการมาจัดเอื้ออำนวย ตะล่อมให้ผู้เรียนผู้ศึกษานั้น มุ่งแน่วไปในการศึกษา เราเรียกว่าสภาพเอื้อต่อการที่จะศึกษาเท่านั้นเอง
ทีนี้เมื่อมีกิจกรรมการศึกษา ก็มีผู้สอนและผู้เรียน ทั้งที่ตัวผู้สอนเองก็เป็นผู้เรียนด้วย จนกว่าจะเป็นพระอรหันต์จึงจะจบ โดยมีพระบรมครูพุทธเจ้าเป็นศูนย์กลาง
เมื่อสอนเมื่อเรียนกันไป ก็เกิดความจำเป็นต้องมีที่อยู่ที่อาศัย กุฏิก็เกิดขึ้น เป็นที่อยู่ของผู้เรียน และผู้สอน
อีกด้านหนึ่ง ที่มีชาวบ้านญาติโยมมา จุดหมายที่แท้ก็เพื่อรับฟังคำสอน การทำบุญและกิจกรรมต่างๆ ก็เป็นเรื่องของการที่จะพัฒนาคน โดยจัดเป็นรูปแบบ และวิธีการต่างๆ ที่ขยายออกไปมากมาย แต่เพื่อสาระเดียวกันก็คือ เพื่อพัฒนาคนให้เจริญขึ้นในการศึกษา ซึ่งในขั้นนี้อาจจะแยกให้ง่ายหน่อยเป็น ทาน ศีล ภาวนา ก็ได้ ซึ่งท่านเรียกว่า เป็นการศึกษาบุญ
ตามคาถาที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ปฺุเมว โส สิกฺเขยฺย แปลว่าพึงศึกษาบุญ (ทั้งสามอย่าง) นั่นแหละ (ขุ.อิติ. ๒๕/๒๓๘/๒๗๐) หมายความว่า ฝึกฝนให้คุณความดีหรือคุณสมบัติที่ดีเจริญงอกงามขึ้นในคน
ถ้าจะประกอบขึ้นเป็นศัพท์ก็เรียกว่า บุญสิกขา แต่ภาษาพระเป็นพุทธพจน์ว่า ปฺุเมว โส สิกฺเขยฺย แสดงว่าบุญ เป็นเรื่องของการศึกษา คือการพัฒนาคุณสมบัติที่ดีขึ้นในคน การจัดกิจกรรมทุกอย่าง เป็นเรื่องของการที่จะมาช่วยให้คนนั้นได้ศึกษายิ่งขึ้นๆ ไป เราจะใช้คำว่าพัฒนาคน ฝึกคน อบรมคน อะไรก็แล้วแต่ ก็เรื่องเดียวกัน
ต่อมา เมื่อคนมากันมาก จะฟังธรรมก็ไม่มีสถานที่เหมาะสมเพียงพอ จึงต้องสร้างอาคารขึ้นมาเป็นศาลา การสร้างอาคารอะไรต่างๆ เหล่านั้น ซึ่งเดี๋ยวนี้เป็นงานที่เรียกว่า สาธารณูปการ ก็เป็นเรื่องที่มีขึ้นเพื่อจัดสรรเอื้ออำนวยให้เกิดความสะดวกสำหรับกิจกรรมการศึกษา
ญาติโยมมาทำบุญทำกุศล ก็เพื่อจะให้กำลังแก่พระสงฆ์ที่จะได้เล่าเรียนศึกษาให้เจริญขึ้นในศีล สมาธิ ปัญญา ส่วนฝ่ายญาติโยมเองมาก็เพื่อพัฒนาตัวให้เจริญขึ้นใน ทาน ศีล ภาวนา ทั้งจิตตภาวนา และปัญญาภาวนา
ถ้าเรามองเรื่องราวและกิจการงานทุกอย่าง ไม่ว่าอะไรก็ตาม ในวัด ตลอดจนบุคคล และวัตถุสิ่งของทั้งหลาย ให้เห็นให้ถึงจุดหมายที่แท้แล้ว ทุกอย่างจะเป็นเรื่องเดียวกันหมด ถ้าเรามองไม่เห็นจุดหมายนี้ ทุกอย่างก็จะกระจัดกระจาย เป็นต่างชิ้นต่างอัน เป็นคนละอย่างไป
งานพระศาสนาทุกอย่างนั้นก็ต้องจับให้ได้ว่า ความหมายและความมุ่งหมายที่เป็น ตัวแท้ของมันอยู่ที่ไหน แล้วมันมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างไร ถ้ามองอย่างนี้ ก็จะเห็นสิ่งที่ปัจจุบันเขาชอบเรียกว่าองค์รวม หรือเป็นบูรณาการ ว่ามันเป็นเรื่องเดียวกันทั้งนั้น
ถ้ามองเป็นเรื่องเดียวไม่ได้ก็ยุ่งแน่ งานและกิจกรรมตลอดจนวัตถุสิ่งของจะกระจัดกระจายไปหมด เช่นว่า นั่นเป็นเรื่องก่อสร้าง ก็ไม่รู้จะก่อสร้างไปทำไม แล้วก็เขวไปว่าต้องก่อสร้างให้ใหญ่โต เพื่อโน่นเพื่อนี้ เพื่อความงาม แม้แต่เพื่อศิลปวัฒนธรรม ซึ่งเป็นเรื่องดีแล้ว ก็ยังไม่ถูกจุด เดี๋ยวก็เลยมาลงที่ตัวตน กลายเป็นเพื่อความยิ่งใหญ่ ชื่อเสียง ฯลฯ เลยเถลไถลไป
ฉะนั้นจะต้องให้มาเจอตรงนี้ให้ได้ คือให้มาบรรจบเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ที่หลักการและความมุ่งหมาย และให้เห็นว่ามันกระจายออกไปได้อย่างไร
ถ้ามองเห็นระบบความสัมพันธ์ที่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันได้ การคิดในเรื่องงานก็จะชัดว่า เราทำอะไร คืออะไร เพื่ออะไร แล้วอันนี้ไปโยงกับอันอื่นอย่างไร เรียกว่า ต้องมองทุกอย่างในวัด และในพระศาสนา ให้สัมพันธ์กันหมดเป็นอันหนึ่งอันเดียว
นั่นคือ เพื่อจุดหมายที่ว่าจะทำอย่างไรให้คนเจริญขึ้นไปเป็นอริยสาวก เป็นอริยชน เป็นอริยบุคคล เป็นพระโสดาบัน สกิทาคามี ฯลฯ เป็นเสขะ - อเสขะ เรื่องทั้งหมดก็มีอยู่เท่านี้
ลองขยายความหมายกันดู ที่พระสอนชาวบ้าน การสอนนั้นเราเรียกว่าการเผยแผ่ แต่การสอนที่เป็นการเผยแผ่นั้นก็คือการศึกษานั่นแหละ สอนชาวบ้านก็คือให้การศึกษาแก่ประชาชนในวงกว้างออกไป ความจริงการเผยแผ่ก็เป็นเรื่องการศึกษาทั้งนั้น
งานที่ท่านนายพลทำมานั้นตรงจุดทีเดียว คือท่านทำเรื่องการศึกษา แต่ทีนี้ทำอย่างไรจะให้การศึกษาครบทั้งระบบ คือให้ได้ทั้ง ศีล สมาธิ และปัญญา
แล้วนอกจากนั้นยังมีองค์ประกอบพื้นฐาน ที่จะนำเข้าสู่ไตรสิกขา หรือนำเข้าสู่มรรค ซึ่งเป็นองค์ธรรมที่เรียกว่าเป็นบุพนิมิตของมรรค ตรงนี้บางทีเรามองข้าม แล้วก็นึกว่าพระพุทธศาสนาสอนให้เดินไปในมรรค แต่ที่จริงตอนแรกคนทั้งหลายนั้นเขายังอยู่นอกมรรค แล้วก่อนที่จะเดินไปในมรรค เขาจะมาเข้ามรรคได้อย่างไร ตอนนี้เราต้องเอาใจใส่ให้มาก
พระพุทธเจ้าทรงเน้นเรื่องบุพนิมิตของมรรค และเรื่องปัจจัยแห่งสัมมาทิฏฐิ ให้รู้ว่าสัมมาทิฏฐิที่เป็นองค์แรกของมรรคจะเกิดขึ้นได้อย่างไร มันมิใช่เกิดขึ้นเฉยๆ ตรงนี้แหละเป็นจุดสำคัญ
หน้าที่ของผู้ดำเนินงานสำหรับสังคมส่วนใหญ่ เป็นหน้าที่ในการชักจูงหรือนำคนมาเข้าสู่มรรค เพราะคนทั่วไปอาจจะยังไม่ได้เข้ามาที่มรรค หรือถ้าเขายังอยู่ในขั้นต้น เราก็ต้องให้กำลังเกื้อหนุนเขา เพราะฉะนั้นตัวธรรมที่จะนำเข้าสู่มรรคจึงสำคัญอย่างยิ่ง
แทนที่จะมัวมองแต่มรรค ต้องมองให้ถึงตัวที่จะนำเข้าสู่มรรค ที่พระพุทธเจ้าทรงเรียกว่า บุพนิมิตของมรรค คือ ธรรมะข้อที่ว่าเมื่อมันเกิดขึ้นแล้ว ก็แน่ใจได้เลยว่าบุคคลนั้นจะเข้าไปสู่มรรค หรือมรรคจะเกิดขึ้นแก่เขา เหมือนอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสว่า
เปรียบเหมือนว่า ก่อนที่พระอาทิตย์จะอุทัย มีแสงอรุณขึ้นมาก่อนหรือปรากฏให้เห็นก่อน ฉันใด เมื่อมรรคจะเกิดขึ้นแก่บุคคลหรือแก่ภิกษุ ก็มีธรรม เช่นกัลยาณมิตตตา คือความมีกัลยาณมิตร ปรากฏเกิดขึ้นมาก่อน ฉันนั้น
ธรรมะประเภทนี้ เราจะต้องเอาใจใส่กันให้มาก เพราะเมื่อคนยังอยู่ห่างไกล เขาไม่รู้จักมรรค ยังไม่เจอมรรค ยังไม่เข้ามาหามรรคเลย เขาจะเดินไปในมรรคได้อย่างไร เหมือนคนเขายังไม่รู้ว่าทางอยู่ที่ไหน เริ่มต้นที่ไหน จะให้เขาเดินทางไปได้อย่างไร เพราะฉะนั้น เราจึงต้องพาเขาเข้ามาที่มรรคก่อน
แล้วทั้งหมดนี้เราจะต้องมองว่า ทุกอย่างที่มีอยู่ในพระพุทธศาสนา เป็นส่วนเกื้อหนุน เกื้อกูล เพื่อให้คนเข้าสู่มรรคและเดินไปในมรรค
ถ้าเราทำงานเป็นระบบ เรียกเต็มว่าเป็นระบบความสัมพันธ์ ทุกอย่างจะเป็นไปด้วยดี นี้เป็นแง่คิดประการหนึ่งคือ การมองให้เห็นความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน เมื่อมองเห็นจุดรวมของงานพระศาสนา ก็เห็นตัวพระพุทธศาสนาทั้งหมด แล้วการทำงานก็จะชัด
ที่จริงการพบกันนี้อาตมภาพคิดว่า ควรจะเป็นการคุยกันมากกว่า
อยากพูดถึงเรื่องเฉพาะกาลเทศะ โดยเฉพาะเรื่องเกี่ยวกับประเทศไทย
เมื่อสักครู่นั้นเป็นการพูดถึงหลักการของพระพุทธศาสนา ที่เป็นเรื่องยืนตัวตั้งแต่ครั้งพุทธกาลมาจนบัดนี้ แต่เมื่อพูดถึงเรื่องของประเทศไทย ก็เป็นเรื่องของกาลเทศะโดยเฉพาะ ซึ่งต้องเน้นเป็นจุดๆ ว่า เวลานี้เรามีปัญหาอะไร ปัญหาเด่นอยู่ตรงไหน และเราจะต้องทำอะไร
ประเทศไทยนี้ เมื่อโยงกับภูมิหลังทางประวัติศาสตร์ สังคมของเรา ก็เป็นสังคมที่ประกอบด้วยชุมชนย่อยๆ มากมาย และชุมชนเหล่านั้นเวลานี้ส่วนใหญ่ก็ยังอยู่ในชนบท ชนบทจึงเป็นฐานสำคัญของประเทศไทย ยิ่งกว่านั้นชุมชนชนบทยังมีความเชื่อมโยงกับวัฒนธรรม กับอดีต กับประวัติศาสตร์มาก ชุมชนเมืองเสียอีกกลับมีภาวะที่เหมือนกับว่า ไม่ชัดเจน แปรปรวน หรือขาดตอน
ในเมื่อชนบทเป็นส่วนที่โยงกับพื้นฐานและภูมิหลังทางวัฒนธรรม รวมทั้งเรื่องของพระพุทธศาสนา แล้วยังเป็นส่วนใหญ่ของประเทศชาติในปัจจุบันด้วย จึงเป็นจุดที่น่าจะเอาใจใส่เป็นพิเศษ
ชนบทน่าเอาใจใส่พิเศษ ทั้งในแง่ของสภาพเอื้อ ทั้งในแง่ของภาวะที่จำเป็น ทั้งในแง่ที่สำคัญต่อความดำรงอยู่ของประเทศชาติ และทั้งในแง่ที่เป็นจุดล่อแหลม หรือกำลังอยู่ที่ทางสองแพร่ง จะไปตามอย่างสังคมเมืองหรือไม่
เวลานี้ชุมชนในชนบท เป็นส่วนใหญ่ของประเทศ ประเทศของเรานี้ราว ๗๐% ยังถือว่าเป็นชนบท และชนบทเวลานี้ กำลังทรุด
เมืองไทยเรามีปัญหามากอยู่แล้ว เช่น ในเรื่องบริโภคนิยมที่โถมเข้ามา ปัญหาอย่างที่ทราบๆ กันอยู่ หนึ่ง ทำอย่างไรจะป้องกันไม่ให้ความเสื่อมแบบเมืองเข้าไปสู่ชนบท ซึ่งเป็นส่วนใหญ่ของประเทศ
พร้อมกันนั้นก็ สอง ทำอย่างไรจะฟื้นของดีที่มีอยู่ในชนบทให้มีชีวิตและมีกำลังขึ้นมา ถ้าทำได้ นอกจากจะป้องกันชุมชนชนบทไม่ให้เสื่อมทรุดแล้ว ชนบทนั้นจะกลับมาเป็นส่วนช่วยประเทศทั้งประเทศ
แต่เวลานี้ชุมชนในชนบทกำลังอ่อนแอมาก บางทีพูดกันว่า ถึงขั้นแตกสลายแล้ว
เรื่องนี้เริ่มมาตั้งแต่ยุคที่อุตสาหกรรมเฟื่องฟู เด็กๆ ในชนบทเข้ามาเป็นแรงงานในกรุงเทพฯ ปรากฏว่าปัจจุบันนี้ ทั้งหญิงทั้งชาย หนุ่มสาว มาในวิถีของการเคลื่อนย้ายเพื่อเศรษฐกิจ ซึ่งในบางแง่ก็เป็นประโยชน์ต่อชนบท แต่ในแง่เสีย เมื่อจัดการไม่ดี ก็เกิดผลร้ายมากกว่า
คนที่สามารถเป็นกำลังของชนบท แต่เมื่อเข้ามาอยู่ในกรุงเทพฯ กลับกลายเป็นปัญหาของเมือง ถ้าเขาอยู่ในชนบท เขาจะเป็นกำลังสำคัญ เป็นทรัพยากรที่มีค่า เป็นผู้นำของชนบท แต่คนเดียวกันนั้น พอเข้ามากรุงเทพฯแล้ว เขากลับกลายเป็นคนที่ก่อปัญหาแก่เมือง อย่างนี้ลำบาก
กลายเป็นว่า คนที่จะเป็นขุมกำลังของชนบทนี้ออกจากชนบท ไปเป็นปัญหาในเมือง แล้วชนบทก็ขาดแคลนทรัพยากรมนุษย์ ขาดแคลนกำลังคนในระดับที่จะเป็นผู้นำ อันนี้คือภาวะอย่างที่ว่า แทบจะแตกสลาย
ส.ส.บางท่านก็เอามาพูด โดยมีความเห็นตรงกันว่า ชนบทบางถิ่นแทบจะไม่เหลือคนหนุ่มสาวเลย มีแต่คนแก่เลี้ยงหลาน ส่วนหนุ่มสาวที่เป็นพ่อแม่เด็กมาอยู่ในกรุงเทพฯ มาเป็นแรงงานประเภทกรรมกร อะไรทำนองนี้ แล้วส่งเงินไปให้ และผูกปิ่นโตให้ ปู่ย่าตายายเลี้ยงหลานไป แล้วก็กินอาหารปิ่นโตนั้นไป
งานการในชนบทก็เหมือนกับถูกทอดทิ้ง การพัฒนาในชนบทก็ไม่มี นอกจากนั้น เมื่อมองดูองค์ประกอบของชุมชนชนบทก็ล้วนแต่เสื่อมทรุดลงไป
ถ้าชนบททรุด และคนบ้านนอกเข้ามาเป็นปัญหาแก่เมือง คนในเมืองต้องช่วยเสริมกำลังให้ชนบทฟื้นขึ้นมา ซึ่งจะเป็นการแก้ปัญหาของเมืองเองด้วย
ที่ว่านี้ มิใช่ว่าจะไม่ให้ชาวชนบทเข้ามาหาโชคในเมือง แต่ต้องหาทางบริหาร และจัดการให้เข้ามาในปริมาณที่พอควรพอดี และมีทางพัฒนาคุณภาพ พร้อมกับที่ตัวชนบทเองต้องไม่ถูกทอดทิ้งให้ขาดกำลัง
วัดเป็นทุนเดิมของชุมชน ซึ่งมีอยู่แล้ว ถ้ารู้จักจัดให้ถูก ในฐานะที่เป็นศูนย์รวม และเป็นแหล่งธรรมแหล่งปัญญาของชุมชนนั้น วัดก็จะช่วยแก้ปัญหาและช่วยพัฒนาชนบทได้มากมาย
ชุมชนชนบทนั้น เรียกกันมาในวงการศึกษาว่า “บวร” (ประกอบด้วย บ้าน วัด โรงเรียน)
แต่ตอนนี้ก็แย่ไปตามๆ กัน บ้านก็แย่แล้ว เพราะว่าพ่อแม่ออกมา ก็ไม่มีกำลัง และพ่อแม่เองก็ไม่มีหลักที่จะรับมือกับสภาพความเจริญสมัยใหม่ ตั้งรับไม่เป็นเลย ได้แค่กลายเป็นเหยื่อของความเจริญปัจจุบันที่เป็นปัญหา ส่วนโรงเรียนก็มีปัญหาอย่างหนัก อย่างที่ทราบกันอยู่แล้ว แล้วเหลืออะไร ก็เหลือวัด แต่พอมาดูวัด ปรากฏว่า วัดก็ทรุดอีก
วัดจำนวนมากไม่มีบทบาทต่อชุมชน คนจำนวนมาก โดยเฉพาะเด็กวัยรุ่น มองไม่เห็นความหมายของวัด ถ้าวัดไม่มีบทบาทต่อชุมชน หรือไม่ทำบทบาทที่ควรจะทำแล้ว ก็เป็นอันว่าหมดความหมาย นี่แหละเป็นภาวะที่ชุมชนแตกสลาย เมื่อชุมชนแตกสลาย สังคมก็แตกสลาย แล้วประเทศชาติก็จะแตกสลายไปด้วย
ตอนนี้เราพูดได้ว่า พระในชนบทกำลังจะหมดบทบาทต่อชุมชน ส่วนที่หมดไปแล้วก็มาก ทำอย่างไรจะให้ฟื้นขึ้นมาได้ ก็ต้องให้พระมีบทบาทที่ถูกต้องต่อชุมชน
ถ้าพระทำบทบาทที่ถูกต้องไม่ได้ ท่านก็ต้องทำบทบาทอื่น เพราะท่านมีชีวิตที่สัมพันธ์กับประชาชน ต้องพึ่งพากันกับประชาชน ฉะนั้นท่านจึงต้องตอบสนองความต้องการของประชาชน เมื่อตอบสนองด้วยบทบาทที่ถูกต้องไม่ได้ ก็เกิดบทบาทที่ไม่ดีขึ้นมา
กลายเป็นว่ามีเรื่องของไสยศาสตร์ เรื่องนอกลู่นอกทางนอกพระศาสนาก็เจริญกันใหญ่ ถ้าเราไม่สามารถพัฒนาบทบาทที่ถูกต้องได้ ท่านก็ต้องออกไปสู่แนวทางนั้น เพราะท่านต้องอยู่กับชาวบ้าน มันเป็นธรรมดา อย่าไปว่าท่านอย่างเดียวไม่ถูก
เราจะต้องไปพื้นฟู ฉะนั้นจึงขอย้ำว่า เวลานี้ต้องพื้นฟูชุมชนในชนบทให้ได้ และในการฟื้นฟูชนบท วัดจะต้องเป็นผู้นำ จึงต้องให้พระมีคุณภาพ
ต้องให้พระมีการศึกษาที่ดีและถูกต้อง มีความสามารถรู้ธรรมวินัยที่จะสอนประชาชนได้ นำประชาชนในทางที่ถูกต้องถูกทาง
เมื่อพระทำบทบาทที่ถูกต้อง ก็ยึดชุมชนอยู่ ยึดพ่อแม่ยึดบ้านไว้ได้ พ่อแม่ก็ส่งต่อไปยังโรงเรียน แล้วโรงเรียนก็มาร่วมมือกับวัด ในการที่จะเอื้อธรรมะ เอื้อศีลธรรม เอื้อความดีความงาม เอื้อการศึกษาการเรียนรู้อะไรต่างๆ แก่ประชาชนในชุมชนนั้น
ถ้าพระมีคุณภาพขึ้นมา ก็สามารถจะร่วมมือกับครูอาจารย์ในวงการศึกษาได้ ถ้าพระไม่มีคุณภาพก็ไม่รู้จะไปร่วมมือกับครูได้อย่างไร
เพราะฉะนั้น เวลานี้เราต้องการส่วนใดส่วนหนึ่งหรือองค์ใดองค์หนึ่งของชุมชนชนบท ให้มีคุณภาพ มีกำลังเข้มแข็ง
แต่ครูปัจจุบันนี้ก็ไม่เป็นหลักได้เท่าไร นอกจากปัญหาเรื่องความเสื่อมสถานะทางสังคมแล้ว สังคมก็ไม่ค่อยเอาใจใส่ต่อครู
อาตมภาพเคยพูดฝากไว้กับหลายท่าน บอกว่า เวลานี้นักการเมืองบางที ต้องขออภัยนะ ท่านอาจจะไม่รู้ตัวว่า ท่านไม่ให้เกียรติแก่ครู บางทีนักการเมืองเอาครูเป็นคนรับใช้ ซึ่งไม่น่าจะทำ
ในชนบทเดี๋ยวนี้ ครูกลายเป็นคนรับใช้ของนักการเมืองไป ถ้าจะทำให้ถูกต้อง ครูไม่ว่าจะอยู่ในระดับไหนก็แล้วแต่ ต้องถือเป็นครูหมด เมื่อเป็นครูแล้ว ในสังคมไทยถือเป็นบุคคลที่ควรได้รับการเคารพบูชา อย่างน้อยก็ต้องให้เกียรติ
เพราะฉะนั้น นักการเมืองควรทำเป็นตัวอย่าง ไปถึงชนบท ถ้าเห็นครูต้องให้เกียรติทันที โดยแสดงออกให้ประชาชนเห็น แล้วครูจะรู้สึกภูมิใจในตัวเองขึ้นมา
พร้อมกันนั้น ประชาชนก็จะเห็นความสำคัญของครู ครูพูดอะไรก็จะมีความหมายขึ้น และครูจะได้ระวังตัวขึ้นด้วย เพราะคนเรานั้น ถ้าตัวเองไม่มีใครเห็นคุณค่า ไม่มีความหมาย ไม่มีเกียรติ ก็จะรู้สึกว่าทำอะไรก็ได้ แต่เมื่อได้รับเกียรติแล้วก็จะทำให้ตระหนักระวังตัวเองขึ้นมา
เพราะฉะนั้นจะต้องให้เกียรติครู นักการเมืองต้องแสดงเป็นตัวอย่าง เมื่อเห็นครูต้องให้เกียรติเป็นพิเศษ อย่างนี้เรียกว่าสังคมร่วมมือกัน ก็มีทางที่จะเจริญก้าวหน้าขึ้นมา แต่เวลานี้ครูอยู่ในฐานะลำบากอย่างที่ว่า
นอกจากนั้น ครูก็ไม่ได้อยู่แน่นอนในชุมชนนั้น แต่พระอยู่เป็นหลักเลย เจ้าอาวาสก็อยู่ตลอด ฉะนั้น ถ้าเราพัฒนาพระให้มีคุณภาพดีๆ พระก็จะเป็นศูนย์กลางและเป็นศูนย์รวม ซึ่งก็เป็นมาก่อนแล้วแต่โบราณ ศูนย์รวมนี้ก็จะทำให้บ้าน วัด โรงเรียน มาประสานกัน เป็นขุมกำลังของชุมชนนั้น และจะพัฒนาชุมชนให้ไปสู่ความเจริญงอกงามได้อย่างแท้จริง
งานบ้านเมืองด้านอื่นๆ นั้น เขามักถนัดด้านในเมืองในกรุง และเขาก็เน้นกันอยู่ที่นั่นมาก แต่งานพระศาสนาโยงสนิทกับชุมชนชนบท และศาสนบุคคลก็ถนัดด้านนั้น
ฉะนั้น ต้องเน้นชุมชนชนบทยิ่งกว่าในเมือง ว่าจะต้องฟื้นฟูคุณภาพของพระและบทบาทของพระ ให้พระทำหน้าที่ที่ถูกต้อง ต่อชาวบ้านและต่อชุมชน แล้วเอาวิถีที่ถูกทางของชนบทมาช่วยเมือง และช่วยทั้งประเทศ
อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ เพราะว่าในทางลบ มันก็เหมือนกับว่าแข่งกัน คือ ความเสื่อมกำลังแข่งกับงานของเรา โดยเฉพาะเวลานี้เรื่องพฤติกรรมนอกลู่นอกทางก็ขยายมากขึ้นทุกที
นอกจากขาดพระที่มีคุณภาพแล้ว บางทีขาดพระที่เป็นตัวบุคคล คือไม่มีพระอยู่วัด แล้วก็ขาดศาสนทายาทรุ่นใหม่ที่จะมาสืบต่อคือ ขาดสามเณร เป็นอันว่าขาดหมด ขาดทั้งพระที่จะทำหน้าที่ในปัจจุบัน ขาดทั้งผู้ที่จะมาสืบต่อเบื้องหน้า
เมื่อเป็นอย่างนี้ ก็เป็นสภาพที่ทั้งเอื้อและเรียกร้องให้มีบุคคลอื่นแทรกเข้ามา อย่างน้อยก็มารักษาวัดไว้ก่อน ก็จึงมีผู้ที่บวชเข้ามาในลักษณะต่างๆ โดยเฉพาะผู้บวชในวัยที่สูงอายุเยอะ จนกระทั่งเวลานี้มีการล้อกันในวงการพระสงฆ์ว่า เกิดวัดหลวงชนิดใหม่ โยมคงได้ยินแล้ว
คนก็จะถามว่า วัดหลวงอะไร เอ ไม่เคยได้ยิน วัดหลวงก็มีอยู่เท่าเดิมนี่แหละ ไม่มีประกาศในราชกิจจานุเบกษาหรืออะไรสักนิดหนึ่งว่า มีวัดหลวงชนิดใหม่ ไปๆ มาๆ ก็ตอบว่า วัดหลวงตา นี่ไง วัดหลวงตากำลังเกิดมากขึ้น
วัดหลวงชนิดใหม่นี้ ในแง่หนึ่งก็เป็นอันตราย เพราะแสดงถึงความเสื่อม เพราะไม่มีพระที่จะอยู่ดูแลวัด ได้แค่มีผู้ที่บวชเข้ามาเมื่อแก่ ถึงแม้ท่านจะมีเจตนาดี ท่านก็ไม่มีกำลังที่จะทำอะไร แต่ผู้ที่เจตนาไม่ดีก็มี เช่นหมดทางไปจึงเข้ามาบวชก็มี ได้แต่อาศัยผ้าเหลืองเลี้ยงชีพ
แต่เราต้องมองในแง่ดีด้วย เพราะมีผู้ที่ตั้งใจดี อย่างน้อยก็คิดว่า ในวัยนี้เลิกทำงานแล้ว อยากมาหาความสงบ ซึ่งเป็นเจตนาดี แต่ท่านก็ไม่มีกำลังที่จะเล่าเรียนอะไรได้มาก
อันนี้เป็นสภาพความเป็นจริง คือมีหลวงตามากมาย เป็นสภาพที่มีมา ๑๐–๒๐ ปีแล้ว อาตมภาพไปเจอพระตามวัดในชนบท เห็นท่านอายุ ๖๐,๗๐ ปี ลองถามดู องค์หนึ่งบอกว่าอายุ ๗๐ ปี แต่ถามพรรษา ได้ความว่าบวชมา ๒-๓ ปี ส่วนอีกองค์หนึ่งอายุ ๖๐ ปี บวชมาได้พรรษาเดียว
ญาติโยมแยกไม่เป็น ก็ไม่รู้ว่าพระเหล่านี้เป็นอย่างไร เห็นพระอายุมาก นึกว่าเป็นหลวงพ่อ หลวงปู่แล้ว นี่คือเข้าใจผิดหมด ที่จริงท่านไม่รู้เรื่องอะไรเลย มีแต่จะพาเขวไปด้วยกัน เพราะฝ่ายพระก็ไม่รู้หลักพระศาสนา เมื่อญาติโยมไปขอโน่นขอนี่ ท่านก็สนองความต้องการไปตามที่พบเห็น บทบาทที่ไม่ถูกต้องที่เขวไปก็เกิดขึ้นมาแพร่หลายกันใหญ่
ฉะนั้นจึงเคยเสนอว่า เมื่อสภาพความจริงเป็นอย่างนี้แล้ว ก็จะต้องเอาใจใส่เรื่องหลวงตา เพราะเป็นความจริงที่เกิดขึ้นแล้ว และเผชิญหน้าอยู่ ถึงแม้ไม่ปรารถนา เราไม่อยากให้มีหลวงตามาก แต่เราต้องคิดว่า เมื่อมีหลวงตามาก เราจะทำอย่างไรกับหลวงตา
จะมีได้ไหม? การจัดกิจกรรมอะไรก็ตาม ที่เป็นการฝึกอบรมหรือการพัฒนาหลวงตาด้วยวิธีการใดวิธีหนึ่ง อย่างน้อยให้ท่านทำประโยชน์ได้ในระดับหนึ่ง หรือรักษาบทบาทในระดับหนึ่งให้แก่วัดให้แก่พระศาสนาหรือต่อชุมชน อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องคิด
แล้วระยะยาว ก็คือ ทำอย่างไรจะให้มีคนมาเป็นศาสนทายาทสืบต่อพระศาสนา
เรื่องการที่จะมีเด็กมาบวชสามเณร เป็นศาสนทายาท สืบต่อพระศาสนา เป็นเรื่องหลักใหญ่เรื่องหนึ่ง
ตอนที่แล้วมาทางรัฐบาลได้ปรับระบบการศึกษา ให้เด็กอยู่ในโรงเรียนถึง ๑๒ ปี ตอนนั้นก็เป็นห่วงกันว่า นี่จะเป็นการดึงให้เด็กไม่สามารถมาบวช เพราะว่าเด็กสมัยก่อนนี้ พอจบประถมปีที่ ๔ เมื่อการศึกษาไม่มีโอกาสเสมอภาคจริง ในชนบทการศึกษามวลชนยังเป็นเพียงอุดมคติ เป็นจุดหมายที่ยังไปไม่ถึง เด็กจบประถมปีที่ ๔ แล้วมาบวชเป็นสามเณรกันมาก ฉะนั้นกำลังในพระศาสนาจึงเหมือนกับว่าได้มาจากผู้ที่ไม่มีทางไป
ถ้าไม่มีทางไปในทางเศรษฐกิจก็ลำบาก เป็นทางเสื่อมมากกว่าดี แต่ถ้าไม่มีทางไปในทางการศึกษานี่กลับดี ขอให้เขาอยากศึกษาเป็นใช้ได้ เมื่อเด็กเหล่านั้นไม่มีทางไปในทางศึกษาก็มาบวช เป็นทางเจริญงอกงาม
เพราะฉะนั้นในสมัยก่อน วัดในชนบทเป็นที่รับเด็กที่จบประถมปีที่ ๔ ที่ไม่สามารถไปเรียนในโรงเรียนรัฐบาล ซึ่งมาบวชกันเยอะแยะ ต่อมารัฐขยายระดับการศึกษาขึ้นสู่ประถมปีที่ ๖ แล้วต่อมาประถมปีที่ ๗ แล้วกลับลงมาประถม ๖ อีก พอดีเริ่มเข้ายุคมีแรงงานเด็ก ตอนนั้นเริ่มเกิดปัญหา เด็กหมดวัด ไม่มาบวชเป็นสามเณร เพราะเข้ามาเป็นแรงงานในกรุงเทพฯ เสียหมด
นั่นคือเรื่องเก่า พอถึงตอนนี้ก็เกรงว่าเมื่อมีการศึกษา ๑๒ ปี เด็กต้องอยู่ในโรงเรียนนานขึ้น โตขึ้นแล้วเลยไม่บวช แต่ตอนนี้ทราบจากโยมทางภาคอีสานบางจังหวัดเป็นนิมิตดีว่า เด็กมาบวชมาเรียนกันในเพศเป็นสามเณรนี่ กลับเพิ่มขึ้นบ้างเป็นบางถิ่น
ที่ว่าเป็นนิมิตดีมีสามเณรบวชมาก คือจะมีศาสนทายาท เราจะต้องเอาใจใส่เอาใจช่วยว่า จะทำอย่างไรให้สามเณรเหล่านี้มีการศึกษาที่ดี นี่เป็นเรื่องของการสร้างศาสนทายาท แม้ว่าการจะมีเด็กมาบวชสามเณรเป็นศาสนทายาท เป็นเรื่องยาวที่ต้องทำกันอีกนาน
แต่มีเรื่องชั่วคราวอันหนึ่งที่มาช่วยผ่อน คือเด็กที่อยู่ในโรงเรียนต่างๆ ซึ่งทางพระไปเอื้อได้คือ การบวชสามเณรภาคฤดูร้อน ซึ่งขณะนี้กำลังแพร่หลายขยายมาก
บางวัดได้สามเณรที่บวชภาคฤดูร้อนนี่แหละมาเป็นศาสนทายาท เช่น วัดพยัคฆาราม จังหวัดสุพรรณบุรี จัดบวชสามเณรภาคฤดูร้อนทุกปี ญาติโยมประชาชนก็หนุนเต็มที่ บวชเรียนกันเป็นเดือน สามเณรหลายองค์ไม่สึกก็เรียนต่อ ปรากฏว่าจบประโยค ๙ หลายองค์แล้ว
นี่เป็นวิถีทางหนึ่งที่ช่วยสร้างศาสนทายาท แม้จะสึกไปก็ไม่เป็นไร ทางพระศาสนาก็ได้เอื้อต่อสังคม ช่วยให้เด็กได้เรียนรู้ธรรมะ มีศีลธรรมมีคุณความดี อยู่ในทางที่ถูกต้อง
อันนี้เป็นเรื่องที่เกี่ยวโยงกันไปหมด แต่ทั้งนี้ก็เป็นเรื่องของการเน้นชุมชนชนบทนั่นเอง ซึ่งก็คือชุมชนทั้งหลายทั่วไปของประเทศไทย
นอกจากนี้ ก็มีเรื่องที่ว่า ทำอย่างไรจะให้ประชาชนแยกได้ว่า อะไรเป็นพุทธศาสนา อะไรไม่ใช่พุทธศาสนา
เรื่องนี้ก็เห็นกันอยู่แล้วว่า ประชาชนส่วนใหญ่ไม่รู้ไม่เข้าใจพระพุทธศาสนา อะไรเป็นพุทธ อะไรไม่ใช่พุทธ คนทั่วไปมักเขว หรือไม่ก็เลื่อนลอย แล้วก็ไม่มีอะไรเหนี่ยวรั้ง และเพราะความอ่อนแอ และการขาดโอกาส ก็เลยออกไปสู่วิถีทางของการพึ่งพาอำนาจภายนอก กลายเป็นทาสของลัทธิหวังผลดลบันดาลกันมาก
ดังจะเห็นว่า พอมีอะไรแปลกประหลาดนิดหน่อย เช่นสัตว์เกิดมาพิการรูปร่างแปลกประหลาด ก็ไปขอหวย ต้นไม้แปลกประหลาด ก็ไปขูดเลขหวยกัน อะไรทำนองนี้ อันนี้จะต้องชัดว่า อะไรเป็นพุทธ-อะไรไม่ใช่พุทธ
ถึงแม้ชาวบ้านจะยังไปทำอยู่ ก็ต้องให้รู้ว่าอย่างนั้นไม่ใช่พุทธ ต้องชัดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าจะต้องไม่ทำพร้อมกับรู้ ตอนแรกต้องรู้ก่อนแล้วต่อไปไม่ทำ อันนี้เป็นเรื่องที่เสียหายแก่พระศาสนามาก แสดงถึงความไม่รู้เรื่องรู้ราว แสดงว่าชาวพุทธไม่ประสีประสากับเรื่องของพระพุทธศาสนา
เคยเห็นในหนังสือพิมพ์ลงข่าว ครั้งหนึ่งมีเรื่องต้นไม้ประหลาดอะไรทำนองนี้ อยู่ในถิ่นที่คนส่วนมากเป็นมุสลิม ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์เข้าไปหา คนมุสลิมให้ข่าวว่า ที่นั่น แถบนั้น มีคนเข้ามาเยอะเหมือนกัน มาขูดเลขขอหวย อะไรทำนองนี้ แต่ไม่ใช่ชาวมุสลิมหรอก เพราะชาวมุสลิมไม่มีการทำอย่างนั้น มองความหมายไปได้ทำนองว่า คนพุทธจึงจะทำอย่างนี้ นี่แหละไม่ไหวแล้ว ชาวพุทธไม่รู้ว่าอะไรเป็นพุทธ แล้วทำให้ผู้อื่นเขากล่าวว่า พวกพุทธเป็นอย่างนี้ คือไปขูดเลขหวยกันเป็นชาวพุทธ
เพราะฉะนั้น อย่างน้อยก็ให้แยกได้ว่าอะไรเป็นพุทธ-อะไรไม่เป็นพุทธ และเราจะต้องชัดว่า จะเอาอย่างไรกับเรื่องการบนบานศาลกล่าว ลัทธิหวังผลดลบันดาล การพึ่งพาอำนาจภายนอก การไม่เพียรพยายามทำให้สำเร็จด้วยเรี่ยวแรงกำลังของตน ตามหลักของพระศาสนาที่จะนำไปสู่การพึ่งตนได้
การที่จะมีเรี่ยวแรงกำลังของตนได้ ก็ต้องพัฒนาคน ถ้าคนต้องการพึ่งตนเอง หรือต้องการมีเรี่ยวแรงกำลังที่จะทำได้เอง มันก็จะเรียกร้องเองให้ต้องพัฒนาตน แต่นี่คนของเราไม่มีแนวคิด ไม่มีเป้าหมาย ไม่มีทิศทาง อยู่กันเคว้งคว้างเลื่อนลอย อันนี้เป็นเรื่องใหญ่ ที่เรียกว่างานหลักของพระศาสนา
แกนของเรื่องก็คือว่า ในเรื่องตัวการศึกษาแท้ๆ จะเอาอย่างไร จะหนุนกันอย่างไร ให้การศึกษาของพระดำเนินไปได้ด้วยดี ทั้งในแบบและนอกแบบ หรือทั้งทางการและไม่เป็นทางการ
เรื่องต่อไปที่มีความสำคัญไม่น้อยคือ ท่าทีและความสัมพันธ์กับต่างศาสนา เพราะว่าเวลานี้ความสัมพันธ์กับต่างศาสนาจะต้องมากขึ้น ซึ่งก้าวไกลไปถึงระดับระหว่างประเทศด้วย ที่ว่าโลกไร้พรมแดน
ในทางพระพุทธศาสนา หลักการบอกว่าจะต้องมี ๒ อย่างไปพร้อมกัน คือปัญญากับเมตตา เรื่องนี้ถ้าเราแยกไม่ออกก็จะสับสน
ปัญญา คือเรื่องการรู้เข้าใจความจริง ความรู้ต้องเป็นความรู้ แต่พร้อมกันนั้นเรามีเจตนาที่ดีเป็นเมตตา การที่พูดให้ความรู้กัน ก็ด้วยความหวังดี ไม่ใช่เพื่อจะมาขัดแย้ง จะแค้นเคือง หรือจะทำร้ายกัน
เราต้องให้ความรู้เพื่อแก้ปัญหา ด้วยเจตนาที่ดีมีเมตตา คือปรารถนาดีจะแก้ปัญหาด้วยการสร้างสรรค์ ให้เกิดความสงบสุขร่มเย็น อยู่กันด้วยดี แต่เรื่องรู้ก็ต้องรู้ ไม่ใช่ว่าปล่อยไม่ให้รู้แล้วบอกว่าพูดไม่ได้ ถ้าพูดไปจะเสีย กลายเป็นแสดงว่ามีความขัดแย้งอะไรต่างๆ ซึ่งเป็นความตื่นกลัวไปเอง ต้องแยกให้ได้ระหว่างความรู้ กับความรู้สึก
เพราะฉะนั้นต้องทำทั้ง ๒ อย่าง เพียงแต่ต้องทำด้วยท่าทีที่ถูกต้อง คือ ท่าทีแห่งเมตตา โดยมีเจตนาที่เป็นเมตตา หมายความว่าความมุ่งหมายเป็นเมตตา คือปรารถนาความดีงาม ความอยู่ร่วมกันด้วยไมตรี มีสันติสุข
แต่เรื่องที่เป็นความรู้ ต้องรู้ เพราะเป็นเรื่องของปัญญา ถ้าไม่มีปัญญา ก็แก้ไขปัญหาไม่ได้ คนที่มีเมตตาอย่างเดียวก็อาจจะตายอย่างเดียว คือถึงจะมีเมตตา แต่ถ้าโง่ ก็เป็นโมหะ คนมีเมตตาแต่โง่ ก็ไปไม่รอด
สิ่งที่จะทำให้ดำเนินการได้สำเร็จ คือ ปัญญา ฉะนั้น เพื่อสนองจุดหมายของเมตตา ก็ต้องมีปัญญาที่จะดำเนินการ ต้องรู้ต้องเข้าใจ เช่นว่าเรื่องนี้ๆ มีภูมิหลังเป็นมาอย่างไร
อย่างเรื่องประวัติศาสตร์นี่ เราไม่ได้เล่าเพื่อให้แค้นเคืองหรือขัดแย้งกัน แต่เป็นเรื่องที่ต้องรู้ เพราะความจริงก็เป็นความจริง ทั้งที่ประวัติศาสตร์เป็นมาอย่างนั้น ถามคนไทยส่วนมากไม่รู้เรื่อง ว่าระหว่างศาสนามีความเป็นมาอย่างไรในอดีต
ฉะนั้น ต้องตั้งหลักไว้ก่อนเลยว่า เราต้องมีท่าทีที่ชัดเจนในเรื่องนี้ จะได้วางแนวในการสัมพันธ์ได้ถูกต้อง เพราะความใจกว้าง ไม่ใช่การเอาใจกัน แต่ความใจกว้าง คืออยู่กันด้วยเมตตา โดยสามารถยอมรับความจริง คนใจแคบ คือคนที่จะเอาตามความต้องการ โดยไม่ยอมรับความจริงหรือหลักการ
ต้องเอาทั้งปัญญาและเมตตา เมตตาก็คือจิตใจเรารัก แต่ปัญญาต้องรู้ และต้องรู้ให้ชัดที่สุด คนที่ไม่รู้ชัดแก้ปัญหาไม่ได้
อาตมภาพขอตั้งหัวข้อเป็นแนวความคิดไว้ก่อน อาจจะเป็นเรื่องที่สนทนากัน ขอเจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบนมัสการครับ เรื่องนี้กระผมกับคณะขอรับใส่เกล้า เพื่อจะได้ไปแก้ปัญหา เป็นแนวในการพิจารณาตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้เมตตาให้การสั่งสอนมา
เรื่องนี้กระผมพิจารณาอย่างนี้นะครับ ที่ผ่านมา สรุปว่า ในช่วงที่กระผมเป็นผู้บัญชาการศึกษานั้น กระผมนำข้าราชการตำรวจประมาณหนึ่งแสนสามหมื่น บวกด้วยครอบครัวและประชาชน รวมประมาณสองแสนคน เข้าไปสู่กระบวนการในการปฏิบัติพระสัทธรรม ได้ผลเป็นที่มหัศจรรย์ เรื่องนี้สื่อมวลชนทราบดีเป็นการทั่วไป และยอมรับ สร้างผลสะเทือนให้เกิดขึ้นในวงการพอสมควร
ประเด็นปัญหาสำคัญ กระบวนการของการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นซึ่งเห็นชัดเจนก็คือ วัดในชนบทต่างๆ เกิดการเปลี่ยนแปลง ต้องสร้าง ต้องเพิ่มวิทยากรขึ้น มิฉะนั้นแล้วผู้ที่เข้าไปปฏิบัติก็ไม่ได้รับการสั่งสอน ก็ไม่รู้จะเข้าไปทำไม
มีบางส่วนที่เน้นไสยศาสตร์ ไม่ได้เอาเรื่องพุทธศาสตร์ บางส่วนเอาเรื่องการหาผลประโยชน์ อย่างที่ปรากฏเป็นคดีกันอยู่นานาประการ
ซึ่งตรงส่วนนี้กระผมเองในขณะปฏิบัติงาน ก็ได้ยึดหลักความเมตตา ที่ได้กรุณาสั่งสอนแนะนำให้ความรู้ไปประยุกต์ว่า อะไรเป็นหลักในพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องการลด ละ วาง ผ่อนเบา คลายลงไปจากกิเลส ตัณหา และอุปาทาน
เพราะฉะนั้นก็ดำเนินการอย่างนี้ได้ผลในแง่ที่ว่า ทำให้วิทยากรมีความสำนึกว่าจะต้องเข้าสู่หลัก วิทยากรในที่นี้ก็มีทั้งด้านพระภิกษุ และทางฆราวาสเสริม ประเด็นตรงนี้ก็เป็นแนวที่จะพิจารณาได้ว่า ขณะนี้สิ่งที่เป็นหลักเหล่านั้นพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ไม่ได้นำเข้าสู่กระบวนการปฏิบัติ จึงก่อให้เกิดความหายนะขึ้นกับสังคม
พุทธศาสนิกชนเมื่อไม่เข้าใจ ไม่ได้รับประโยชน์ในชีวิตประจำวันจากพุทธธรรม ก็ไม่รู้จะไปรักษาหรือไปดูแลทำนุบำรุงพระพุทธศาสนา ให้มีความมั่นคงได้อย่างไร แล้วด้วยความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ พุทธศาสนิกชนเองก็ไปทำลายพระพุทธศาสนาเสียย่อยยับมากมาย
กระบวนการในเรื่องเหล่านี้ เป็นสิ่งที่ติดอยู่ในสำนึกตลอดเวลา ขอกราบนมัสการว่า เรื่องของพระพุทธศาสนานี้ ผู้ใหญ่ผู้ที่มีอำนาจในบ้านเมืองขณะนี้ เป็นผลผลิตมาแต่เด็กเล็ก ซึ่งในอดีตเราไม่ได้เคยสั่งสอนให้เขาได้เข้าสู่ทางปฏิบัติ
แล้วทางปฏิบัติในพระสัทธรรม ก็เป็นทางเดียวที่เขาเหล่านั้นจะได้เห็นถึงประโยชน์ในชีวิตประจำวัน เมื่อเขาได้ประโยชน์ เขาก็รักษาทำนุบำรุงสุดชีวิต แต่เมื่อเขาไม่มีประโยชน์เขาก็ไม่รักษา เขาไม่เข้าใจ เมื่อเขาเข้ามามีอำนาจเขาก็ไม่เห็นประโยชน์ สังคมของเราจึงเป็นสังคมที่เต็มไปด้วยความต้องการทางวัตถุเท่าไรก็ไม่พอ
สังคมอย่างนี้ ชนในตะวันตกเขาได้รับบทเรียนมาแล้ว เข้าสู่สภาวะของโรคจิต การวิกลจริต การฆ่าตัวตาย แล้วเขาก็เริ่มมีการแสวงหา แต่จะแสวงหาอย่างไรก็ตาม อย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์เคยสั่งสอนกระผมไว้ ก็คือแสวงหาเพื่อมาเป็นสิ่งกล่อม ก็เลยไปติดเข้าอีกแบบ ไปถูกกล่อม ไม่ได้เข้าไปสู่จุดมุ่งหมายของพระพุทธศาสนา คือการดับทุกข์โดยสิ้นเชิง ซึ่งไปทีละขั้น ตามที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวไว้เมื่อสักครู่นี้
ภาวะตรงนี้ทำให้สภาพการปฏิบัติ เมื่อกระผมออกจากผู้บัญชาการศึกษาแล้ว ก็ลดระดับไป สรุปแล้วประมาณ ๙๐% ส่วนที่ยังหลงเหลืออยู่บ้างก็เพราะยังมีแกนดำเนินการอยู่
เป็นที่น่าสังเกต ในขณะที่กระผมพ้นตำแหน่งนั้นมาประมาณ ๒ ปีเศษ กระผมก็ยังได้รับการเรียกร้องให้ไปบรรยายตามสถานที่ต่างๆ เป็นประจำตลอดมา กระผมก็ได้อธิบายในภาษาง่ายๆ แบบชาวบ้าน ซึ่งได้มาจากการปฏิบัติของกระผมเอง ก็ไม่มากมายอะไร แต่ก็พอทำให้เขาเข้าใจได้
กระผมมองว่าขณะนี้พุทธศาสนิกชนทั้งหลาย ก็ยังเป็นอย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์พูด คือยังหลงอยู่ ยังไม่เข้าใจ ยังไม่สามารถจะนำมาใช้ประโยชน์ในชีวิตประจำวันได้ เขาก็ไม่รักษาไม่ดูแล
เพราะฉะนั้นในโอกาสนี้ ซึ่งกระผมคิดว่าเป็นเรื่องของกรรม หมายถึงเป็นเรื่องของผลการกระทำที่กระผมได้ไปดำเนินการมาตลอด และทางรัฐบาลก็คงจะเห็นผลของเรื่องนี้
ท่าน ดร.วิษณุ เครืองาม ซึ่งเป็นผู้รับผิดชอบแทนนายกรัฐมนตรี ได้ตั้งคณะกรรมการขึ้นมาชุดหนึ่ง ตามที่ท่านได้บอกไว้ เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๕๔๕ ปีที่แล้ว ว่าในการปฏิบัติ ท่านจะมีคณะกรรมการชุดหนึ่ง ท่านได้กล่าวต่อหน้าพระสังฆาธิการและข้าราชการประมาณ ๔๐๐ รูป/คน ที่มาประชุมพร้อมกันที่พุทธมณฑลว่า คณะกรรมการชุดนี้ จะช่วยท่านในเรื่องนโยบาย และมีหน้าที่ในการคัดเลือกผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติในโอกาสต่อไป
ท่านได้ประกาศต่อพระสังฆาธิการและข้าราชการ ซึ่งอาจจะสืบเนื่องมาจากกรณีนี้ก็ได้ กระผมไม่ชัดเจน ต่อมากระผมได้รับการติดต่อให้มาทำหน้าที่นี้ ผู้ประสานงานได้ถามว่ามีความเห็นอย่างไร
กระผมได้ยืนยันว่า กระผมไม่เห็นด้วยกับการแต่งตั้งผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ เพราะกระผมมีความเห็นว่า จากประสบการณ์ที่กระผมอยู่ในระบบราชการ ถ้ามีการแต่งตั้งก็จะได้คนดีและไม่ดี คนเฉื่อยและคนไม่เฉื่อย ส่วนใหญ่ในระบบราชการไทยของเรา ตามทางปฏิบัติก็จะได้รับในทางที่เป็นผลลบมากกว่าผลบวก
ทางผู้ประสานงานของรัฐบาลก็บอกว่า เห็นด้วยกับการคัดสรร แต่ยังไม่ทำ ยังมีเหตุผลบางประการ ให้กระผมเข้ามาปูพื้นฐาน ปูทาง ด้วยความตื่นตัว ด้วยความรับผิดชอบเสียก่อนสักระยะหนึ่ง แล้วต่อไปจะได้มีการคัดสรร
กระผมขอกราบนมัสการ ให้ได้รับทราบเป็นเบื้องต้น กระผมก็ได้สอบถามทางผู้ประสานงานว่า ถ้ากระผมจะเข้ามา กระผมก็ต้องสามารถที่จะทำอะไรได้บ้าง เพราะถ้าทำอะไรไม่ได้เลย เข้ามาสู่ระบบราชการแบบเดิม ไม่เข้าเสียดีกว่า ก็สนทนาปรารภสัมมนากันสั้นๆ ทางฝ่ายผู้ประสานงานก็บอกว่ารับได้ สิ่งที่รับได้นั้นกระผมเสนอหลักการ ๒ ประการ
ประการแรก คือ กระผมเน้นว่า จะต้องมีการศึกษา-ปฏิบัติ-เผยแผ่ สรุปตรงประเด็นนี้คือ ๓ ข้อ
ข้อที่หนึ่ง จะต้องนำพุทธศาสนิกชนลงสู่การปฏิบัติในพระสัทธรรมให้ได้มากที่สุด ด้วยกุศโลบายนานาประการ อันนั้นในรายละเอียดก็ว่ากันไปอีกที เช่นการประสานกับหน่วยงานราชการทุกกระทรวงทบวงกรม อย่างนี้เป็นต้น ให้ทำอย่างกว้างขวาง ให้ทำอย่างมีจิตเมตตา แต่ต้องดำเนินการด้วยปัญญา ตามที่ได้เมตตาสั่งสอนไว้นั้น
ข้อที่สอง จะต้องนำระบบอย่างนี้ ลงสู่ระบบการศึกษาในวัยตั้งแต่เด็กเล็ก แล้วพัฒนาอย่างต่อเนื่องจนถึงวัยผู้ใหญ่ ถ้าหากว่าผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมีประสิทธิภาพและมาจากการคัดสรร เพราะคณะกรรมการต้องดูแล ถ้าทำไม่ดีก็ถอดถอน ถ้าทำดีก็ปกป้อง เพราะฉะนั้นเราจะได้ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติที่ได้มาตรฐานตลอดไป พระพุทธศาสนาบอบช้ำ เกินกว่าที่จะลงไปสู่ลักษณะแบบเช้าชามเย็นชามได้อีกแล้ว
ข้อที่สาม จะต้องปรับองค์กร โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ให้เข้มแข็ง ให้มั่นคง ให้มีมาตรฐาน ให้มีความต่อเนื่อง ไปสู่การดำเนินการในประเด็นที่ ๑ และประเด็นที่ ๒ อย่างที่กระผมได้กราบนมัสการไว้แล้ว นั่นคือส่วนที่หนึ่ง ซึ่งตรงนี้กระผมขอสนองรับคำสั่งสอน ในประเด็นที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวมาแล้ว และที่จะได้สั่งสอนกระผมกับคณะเพิ่มเติมต่อไป
ประการที่สอง ส่วนสุดท้ายก็คือ กระผมเห็นว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติต้องเป็นองค์กรเปิด จะไปหมกเม็ดปิดเงียบเช้าชามเย็นชามไม่ได้
จะต้องมีลักษณะของความกระฉับกระเฉง และมีอะไรก็ตามต้องบอกพี่น้องประชาชนให้ได้รับทราบ บอกพุทธบริษัท ตรงไหนทำไม่ได้ ตรงไหนทำได้ ต้องว่าไป
เรื่องตรงนี้มีร้อยแปดพันประการ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องวัดที่มีปัญหา บุคคลที่มีปัญหา บุคคลที่เข้ามาอยู่ในวัดสร้างความเสื่อมเสียอย่างมโหฬาร ศาสนสมบัติ ทั้งของวัดและศาสนสมบัติกลาง ประชาชนติฉินนินทา ชาวพุทธเราก็อยู่ในความเงียบตลอดเวลา อย่างนี้ต้องนำมาเปิดกันให้มากที่สุดเท่าที่จะเปิดได้
กระผมก็หวังว่า ถ้าเรามีความกระฉับกระเฉง ทำงานกันด้วยความมีเมตตา ท่าทีต้องมีความเมตตา ไม่ใช่ต้องการที่จะไปทำร้ายใคร แต่ต้องดำเนินการด้วยปัญญา ซึ่งจะเกิดขึ้นจากจิตที่มีความตั้งมั่นที่จะปฏิบัติงาน เพื่อประโยชน์เพื่อความมั่นคงในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง ไม่ใช่เพื่อความดัง ความอยากมี อยากเป็นของตัวเรา
ในส่วนนี้สำหรับส่วนตัวของกระผมเอง กระผมพิจารณาว่าในการที่กระผมมาปฏิบัติงานนี้ เป็นเรื่องของความเป็นสิริมงคล กระผมได้แล้ว ได้เต็มเปี่ยมคือ ได้บุญได้กุศล อาจจะเดินทางลัด ในการที่จะไปสู่จุดหมายปลายทางในพระพุทธศาสนา ที่เราตั้งความหวังไว้ในที่สุด ในโอกาสต่อไป ก็ไม่ทราบเมื่อใด ก็ต้องทำให้ดีที่สุด อย่างมีสติจดจ่ออยู่กับปัจจุบัน
อันนี้กระผมพิจารณาว่าก็ต้องดำเนินการอย่างนั้น ต้องมีความกระฉับกระเฉง ต้องมีปัญญาที่จะไปแก้ปัญหา แล้วไปบอกประชาชนให้ได้รับทราบ แล้วคำถามเกิดขึ้นอีก แล้วจะทำอย่างนี้ได้อย่างไร กระผมตอบกับสื่อมวลชนสั้นๆ เนื่องจากขณะนี้ มติคณะรัฐมนตรีออกแล้ว แต่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าโปรดกระหม่อมยังไม่ปรากฏออกมา ก็คงจะออกเร็วๆ นี้
กระผมพูดอะไรลึกไปก็จะเสียหาย แต่ถ้าไม่พูดอะไรเลย สื่อมวลชนก็ตามอยู่ตลอดเวลา เขาอาจจะคิดว่ากระผมมีความหวังอาจจะน้อย และกลายเป็นเรื่องของการโจมตี ในแง่ทำลายขวัญกำลังใจของเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ที่กระผมจะไปรับหน้าที่และร่วมงานกับท่านเหล่านั้นต่อไป ก็ถามกระผมว่า แล้วจะมีวิธีการทำงานอย่างไรให้ปรากฏออกมา
อย่างที่กระผมพูดมานี้กว้างๆ ให้มีความหวัง กระผมก็บอกว่าง่ายๆ คือ เราจะมีพุทธบริษัทมากมาย ทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์เข้าไปร่วมกัน ในการทำงานร่วมกับสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และเมื่อร่วมกันอย่างไรแล้วปรากฏออกมา ไม่ใช่ตัวกระผมคนเดียวที่จะพิจารณาในเชิงของเผด็จการ
เราจะต้องบริหารงานในลักษณะของธรรมาธิปไตย ด้วยปัญญา ด้วยความเพียรพยายาม วิริยะ ความซื่อสัตย์สุจริต และด้วยความสงเคราะห์ซึ่งกันและกัน ชัดเจนตรงจุดนั้นซึ่งพระพุทธองค์ได้ตรัสไว้
ตรงจุดนี้ก็เอาทั้งสองฝ่ายมาร่วมกัน เราจะต้องมีทั้งบรรพชิตและคฤหัสถ์ ที่มีอาวุโสมีประสบการณ์ที่จะต้องมาเป็นที่ปรึกษา เพื่อบางเรื่องที่เราทำไม่ได้แล้ว หมดปัญญาแล้ว ก็จะต้องมาขอคำปรึกษา
ในด้านนี้ก็อยากจะมารับเมตตา ในประเด็นที่กระผมได้กราบนมัสการไปแล้ว และมีอะไรบ้างหรือเปล่า ที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์คิดว่าต้องดำเนินการให้รวดเร็ว เพราะกระผมมีความรู้สึกว่า ขณะนี้เมื่อกระผมได้ดำเนินการจากลักษณะที่เคยทำมา ให้เป็นองค์กรเปิดที่ชัดเจน ก็เปรียบเสมือนหนึ่งน้ำที่ไหลออกจากทำนบจนล้น ทำนบอาจเปิดรอยโหว่มาก
เพราะฉะนั้นงานที่มีปัญหาอาจเข้ามามากมาย คำถามต่อเรื่องเหล่านี้ว่าแล้วเราจะทำทันหรือ กระผมมีระยะเวลาเพียง ๑ ปีจะเกษียณอายุราชการในปี ๒๕๔๗ เพราะฉะนั้นจะต้องเรียงลำดับความสำคัญเร่งด่วน
ตรงเรื่องลำดับความสำคัญเร่งด่วนจะต้องมากราบนมัสการถามด้วยว่า จะเอาเรื่องอะไรเป็นประเด็นที่สำคัญ ที่พอจะทำได้ทัน เรื่องปัจจุบันที่พอจะปูเป็นพื้นฐาน ที่กระผมได้กล่าวกราบนมัสการ ในประเด็นที่หนึ่ง คือ เป็นพื้นฐาน ในประเด็นที่สอง คือ ต้องกระฉับกระเฉง ต้องประชาสัมพันธ์ จะถูกต้องแค่ไหนเพียงใด กระผมขอกราบนมัสการไว้แต่เพียงเท่านี้
พระธรรมปิฎก: เจริญพรขออนุโมทนา เรื่องหนึ่งคือ ความเข้มแข็งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีความเข้มแข็งภายใน แล้วความเข้มแข็งที่ข้างนอกหนุนเข้ามา ความเข้มแข็งที่ข้างนอกหนุนเข้ามา ในที่นี้หมายถึง เกิดจากงาน จะเป็นความเข้มแข็งที่แท้
บางทีเราสร้างความเข้มแข็งขึ้นมา ยังไม่ได้เท่าแรงหนุนให้เข้มแข็ง ถ้าหากว่าไปทำ เช่นไปช่วยทำให้ชนบทเจริญขึ้นมาในเนื้อหาสาระที่เป็นตัวพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง บทบาทของพระเข้มแข็งขึ้นมา วัดทำหน้าที่ถูกต้อง มีพระมีคุณภาพดีทำงานได้ผล พุทธศาสนิกชนมาสัมพันธ์กับวัดในแนวทางทิศทางที่ถูก แล้วอันนี้จะกลายเป็นตัวเหตุปัจจัยที่ทำให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเข้มแข็งขึ้นมาจริงๆ
ไม่อยากโทษกรมการศาสนาในสมัยก่อน ถึงเราจะพัฒนาข้างในอย่างไร แต่ถ้าไม่ไปพัฒนารอบๆ ตัว ให้หน่วยย่อยที่เป็นองค์ประกอบส่วนใหญ่เข้มแข็งขึ้นมา ก็ไม่มีความเข้มแข็งที่แท้จริง พอเราไปทำงานได้สำเร็จ อันนี้แหละความเข้มแข็งที่แท้จริงเกิดขึ้นเลย
ฉะนั้นคิดว่า ความเข้มแข็งที่แท้ จะเกิดขึ้นจากตัวงานที่ถูกจุด แล้วพอถูกจุดได้ผลขึ้นมาแล้ว จะเรียกร้องความเข้มแข็งอื่นเข้ามาด้วย เช่นงบประมาณ เขาไม่มีทางเลี่ยงที่จะไม่มาเกื้อหนุน เพราะว่า มันมีงานจริงๆ ชัดเจน ที่เรียกร้องบังคับให้ต้องเข้ามา
เพราะฉะนั้น อย่างน้อยการงานจะต้องมีการเจาะจุดเจาะเป้าว่า อันนี้นะต้องทำให้ได้ อาจมีเรื่องเวลาเข้ามาประกอบด้วย เรื่องนี้ต้องทำให้ได้สำเร็จภายในเวลาเท่านี้ แต่ว่าอย่างน้อยต้องมีจุดมุ่งมั่นที่แท้จริงว่าอันนี้ต้องทำให้ได้ ทีนี้ถ้าเราจับจุดอันนี้ได้ชัด จะดึงส่วนอื่นขึ้นมาเอง
จุดนี้อาจไม่ใช่จุดใหญ่ๆ แต่เป็นจุดที่สำคัญมาก ซึ่งเป็นตัวส่อแสดงหรือฟ้องให้เห็นถึงความเสื่อมของพระศาสนา ถ้าแก้จุดนี้ขึ้นมาแม้จะเป็นจุดเล็กๆ น้อยๆ แต่มันจะดึงให้ส่วนอื่นเข้มแข็งขึ้นมา เพราะฉะนั้นเมื่อสักครู่อาตมภาพจึงพูดให้เจาะเป็นจุดๆ ว่า อะไรที่เป็นจุดอ่อน ของพระพุทธศาสนาในปัจจุบัน
คงต้องดูให้ชัดด้วย ว่ามีจุดอ่อนจุดแข็งอะไร แต่จุดอ่อนนั้นตอนนี้มาก จะต้องชัดแล้วก็จะต้องเจาะจงเลยในการที่จะแก้ไขทำให้ได้ ถ้าแก้จุดอ่อนเหล่านี้ได้ การเสริมจุดแข็งจะง่ายขึ้น
บางอย่างเป็นจุดอ่อนที่เสียเกียรติภูมิของพระพุทธศาสนาด้วย อย่างที่ยกตัวอย่างเมื่อสักครู่นี้ว่า ชาวบ้านไม่รู้ว่าอะไรเป็นพระพุทธศาสนา เป็นข้อที่ทำให้คนภายนอกเขานำไปพูดไปอ้างอิง
อันนี้ก็เป็นเรื่องในแง่ดีของพระพุทธศาสนาที่ให้เสรีภาพ ส่วนในศาสนาที่ใช้ศรัทธาเป็นแกน เขากำหนดลงไปเลยว่าต้องเชื่อต้องทำ ซึ่งมองอีกแง่หนึ่งก็ถือว่าอย่างนั้นไม่ใช่เสรีภาพ เพราะเป็นการกำหนดหรือบังคับ
แต่ในพระพุทธศาสนาที่ให้เสรีภาพนั้น เมื่อให้เสรีภาพจะต้องมีตัวดุลมาเข้าคู่ มิฉะนั้นจะไปไม่ได้ เสรีภาพจะกลายเป็นช่องทางให้คนเถลไถล เพราะฉะนั้นจะต้องมีตัวที่มากำกับเสรีภาพนี้ เพื่อให้เข้าสู่ทางที่ถูกต้อง
เพราะฉะนั้นในภูมิหลังของเราจึงต้องเน้นคู่กัน คือ เมื่อมีเสรีภาพ ก็ต้องให้การศึกษาพัฒนามนุษย์ เพื่อให้ใช้เสรีภาพได้อย่างถูกต้อง ให้เป็นเสรีภาพเพื่อไปทำสิ่งที่ถูกต้อง
ถ้าคนไม่มีคุณภาพ ก็เริ่มตั้งแต่ไม่มีความรู้ ไม่รู้ว่าทำอะไรจึงจะถูก แม้แต่ว่าอะไรถูกก็ยังไม่รู้
ทีนี้ในวัฒนธรรมไทยเรานี้ เรามีการเน้นเรื่องนี้ ก็คือการบวชเรียน ซึ่งเดี๋ยวนี้เหลือเป็นประเพณีบวช แต่ของแท้เรียกว่าบวชเรียน อันนี้ก็เป็นเรื่องหนึ่ง การฟื้นฟูพุทธศาสนาในชุมชนหรือในชนบท ต้องจับที่การบวชเรียน ซึ่งยังมีประเพณีสืบต่ออยู่ เท่ากับยังเหลือช่องให้เรา แม้มันจะเสื่อม
มองในแง่เสีย ประเพณีบวชเรียนเสื่อมไปมาก บวชกันโดยไม่รู้ว่าบวชทำไม ในชนบทมากแห่ง เดี๋ยวนี้บวชแล้วไม่ได้เรียนหนังสือเลย ไม่รู้ว่าพระพุทธศาสนาเป็นอะไร บางทีบวชแล้วกลับยิ่งเบื่อหน่ายพระศาสนาหนักเข้าไปกว่าเดิม เพราะว่าบวชออกไปแล้วไม่รู้เรื่อง ยิ่งมาเห็นอะไรต่ออะไรที่ไม่นึกว่าจะเป็น พอกลับออกไปกลับทรุดลง
เราต้องมีเป้าหมายชัดเจนว่าบวชเข้ามาแล้วต้องได้อะไร ประเพณีบวชเรียนนี้เอื้อไว้แล้ว ท่านทำช่องทางไว้แต่อดีต แต่ทำไมเราจึงปล่อยให้กลายเป็นช่องทางของความเสื่อม แทนที่จะใช้ช่องทางที่เป็นการได้เปรียบอยู่แล้วให้เกิดผลดี นั่นคือช่องทางของการได้เปรียบมีอยู่แล้ว โอกาสของเราอยู่ที่นี่
ประเพณีบวชเรียนเป็นโอกาสในการที่เราจะฟื้นฟูพระพุทธศาสนา ในเรื่องของการศึกษา นั่นคือจุดเน้นอย่างหนึ่งของการฟื้นฟูพระพุทธศาสนาว่า จะทำอย่างไรกับประเพณีบวชเรียน ให้ผู้ที่บวชเข้ามาแล้ว ได้เรียนจริงๆ คือได้ศึกษา
การศึกษาในที่นี้ก็คือ การรู้และปฏิบัติอย่างถูกต้องนั่นเอง เพราะการศึกษาในพระพุทธศาสนานี้ครอบคลุม หมายถึงไตรสิกขา คือ ศีล สมาธิ ปัญญา
เมื่อการศึกษาเป็นไปตามไตรสิกขา ก็จะเห็นชัดว่าตัวสิกขาหรือการศึกษา คือการปฏิบัติ ไม่ใช่แค่รู้ หมายความว่าต้องปริยัติ และปฏิบัติรวมกัน ท่านจึงเรียกว่าศึกษา ด้วยการศึกษานี้ ถ้าเราฟื้นประเพณีบวชเรียนได้ เราจะช่วยฟื้นชนบทได้มากมาย แล้วรวมมาถึงกรุงเทพฯด้วย เพราะตอนนี้ความเสื่อมขยายไปทั่ว
การบวชเรียนที่ว่าเสื่อมนี้ เสื่อมถอยลงทั้งในแง่ของความมุ่งหมายและเนื้อหาสาระ ทั้งในแง่ของสภาพภายนอกทางสังคม คือระยะเวลาบวชที่หดลงไป คนที่จะบวชในพรรษาเหลือน้อย มักบวชเหลือเดือนหนึ่งหรือครึ่งเดือน บางทีเจ็ดวัน หรือไม่กี่วัน จนกระทั่งพูดกันว่า แม้แต่ครองผ้าห่มผ้าก็ยังไม่เป็น ก็สึกไปแล้ว ไม่รู้อะไรเลย บวชแค่ให้ได้ชื่อว่าได้บวช
เคยพูดกันมานานแล้วว่า การบวชเรียนจะต้องมีหลักสูตร ว่าจะมีหลักสูตรสั้นหลักสูตรยาวตามระยะเวลาที่บวช แต่ถึงจะมีหลักการก็ขาดอีกด้านหนึ่งอยู่นั่นแหละ คือไม่มีครูที่จะสอน ในชนบทเวลานี้ บ้านนอกออกไป กุลบุตรบวชเข้ามาแล้ว ครูอาจารย์ไม่มี จะไปสอนอะไร ถึงมีหลักสูตรให้แล้วก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะฉะนั้นจะต้องทำไปควบคู่กัน
แต่รวมความว่าประเพณียังเอื้ออยู่ ช่วยให้มีผู้บวช แต่เราไม่รู้จักใช้ประโยชน์จากประเพณีนี้เลย เรากลับปล่อยให้ประเพณีนี้เป็นทางของความเสื่อม นี่ชาวพุทธเป็นอะไรไป สิ่งที่มีอยู่ควรเป็นประโยชน์ก็ไม่รู้จักใช้ เพราะฉะนั้น ก็ต้องทำประเพณีบวชเรียนให้สมชื่อว่าเป็นประเพณีบวชเรียน
ตามบ้านนอกต่างจังหวัดมากทีเดียว บวชมาแล้ว นอกจากไม่ได้เรียน เพราะไม่มีครูอาจารย์แล้ว แม้แต่ทำวัตรสวดมนต์ก็ไม่มี สักแต่ว่าบวช ได้แต่เน้นเรื่องของการจัดพิธีตอนบวช พ่อแม่ต้องเสียเงินเสียทอง บางทีกู้หนี้ยืมสินมาจัดงานใช้เงินเป็นแสนๆ เพื่อให้ลูกบวช ๗ วัน บางรายก็มีดนตรี จัดหางเครื่อง สั่งโต๊ะจีนเลี้ยงเป็นการใหญ่ แต่บวชแล้ว ๗ วันสึก พ่อแม่ใช้หนี้ต่อ
แต่ที่ท่านทำดีก็มี บางแห่งเมื่อบวชไปแล้วเจ้าอาวาสก็เอาใจใส่ให้การศึกษา ทำอย่างไรเราจะไปกระตุ้นให้มีการเริ่มต้น ให้ฟื้นกันขึ้นมาให้ได้ และไปหนุนที่ทำดีแล้ว
ถ้าประเพณีการบวชเรียนฟื้นขึ้นมาได้ จะช่วยพระศาสนาได้มากมาย การพระศาสนาในชนบทจะฟื้นขึ้นมา เรียกว่าอย่างเห็นกันได้ชัดๆ ไปเลย แต่ถ้าปล่อยปละละเลยต่อไป บุญที่บรรพบุรุษสร้างไว้นี้ จะกลายเป็นจุดหายนะของพระพุทธศาสนายุคต่อไป และการฟื้นฟูคงไม่ใช่ง่าย นี่ก็เป็นจุดหนึ่ง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: เรื่องนี้กระผมรับที่จะไปดำเนินการทันทีครับ โดยการใช้นโยบายและการปฏิบัติในเชิงของการประชาสัมพันธ์ บอกไปยังสื่อต่างๆ คงจะต้องมีการใช้วิธีการให้เพื่อนข้าราชการ และสภาพุทธบริษัทที่เราจะตั้งร่วมกันเดินไป
เรื่องนี้จะต้องนำไปกราบนมัสการกรรมการมหาเถรสมาคมในที่ประชุม ซึ่งจะต้องไปกราบนมัสการท่านก่อนเป็นการภายในแล้วก็เน้นเรื่องนี้ คงจะต้องมีงบประมาณ ซึ่งคิดว่าเรื่องงบประมาณ คงไม่มีปัญหาอะไรที่จะดำเนินการเรื่องนี้ได้
พระธรรมปิฎก: ขออนุโมทนา เรื่องงบประมาณแม้จะมีความสำคัญ ก็ยังไม่มากนัก เพราะว่าเรื่องการบวชเรียนนี้ ชาวบ้านเขาหนุนอยู่เต็มที่แล้ว ประเพณีก็เป็นหลักให้อยู่แล้ว ศรัทธาของพุทธบริษัทก็เป็นขุมกำลังใหญ่ ยิ่งถ้าเราทำให้ลูกของเขาได้ประโยชน์จากการบวชจริงๆ ถ้าเขาเห็นขึ้นมาชัดๆ ทำไมพ่อแม่เขาจะไม่เอาด้วย
พ่อแม่เขารักลูก ที่ให้ลูกบวชก็เพราะอยากให้ลูกดี แม้จะมีผู้ที่ไม่เข้าใจ อาจจะบวชแค่ให้ได้บุญชนิดที่ตัวเองก็ไม่รู้ความหมายว่าบุญคืออะไร แต่คนทั่วไปก็รู้อยู่โดยประเพณีว่า เราให้ลูกบวชแล้ว ลูกจะได้เป็นคนสุก ลูกจะได้เป็นผู้ใหญ่ ลูกจะได้เป็นคนมีความรู้ มีความคิด มีศีลมีธรรม เป็นหลักของครอบครัวได้ อันนี้ชาวบ้านเขารู้อยู่
ถ้าบวชไปแล้วกลับออกมาไม่รู้เรื่อง มาเป็นหลักให้แก่ครอบครัวไม่ได้ ชาวบ้านก็ต้องผิดหวัง ต่อไปประเพณีบวชเรียนก็จะเสื่อมลงไปๆ เพราะฉะนั้นขอให้เขาสมหวังสักหน่อย ส่วนคนที่ไม่เข้าใจ ก็ฟื้นความเข้าใจกันขึ้นมา
อาจจะต้องประชาสัมพันธ์กันให้หนักเลย เรื่องบวชเรียนนี่ ต้องให้ความเข้าใจความหมายไปหนุนด้านประเพณี คือไปปลุกใจในแง่ประเพณีให้เห็นว่า วัฒนธรรมของเรานี้ดีนะ มีประเพณีบวชเรียน และประเพณีนี้ได้สร้างสรรค์สังคมไทยมาอย่างไร ซึ่งก็เป็นความจริง ประเพณีบวชเรียนได้สร้างสรรค์สังคมไทยมามากมาย
องค์พระมหากษัตริย์ก็ทรงบวชเรียนกันมาทั้งนั้นในอดีต ไปดูซิ รัชกาลที่ ๑ และพระเจ้าตากสินก็ทรงบวชเรียนกันมา เราก็ไปฟื้นเอาเรื่องประวัติศาสตร์มาเล่าให้ฟัง ให้ประชาชนตื่นตัว ให้ภูมิใจในวัฒนธรรมของตัวเอง แล้วก็ให้เด็กอยากจะบวชเรียน เพื่อความหมายและจุดมุ่งหมายที่ถูกต้อง จนกลายเป็นเสียงเรียกร้องบีบบังคับไปในตัว ให้พระต้องเอาใจใส่ในการทำการบวชเรียนให้ได้ผล ให้ลูกของเขาได้ประโยชน์
อันนี้เป็นจุดหนึ่งซึ่งเป็นเรื่องที่ทิ้งกันมานานแล้ว ควรจะเจาะจุดกันเสียที และตรงทีเดียวเลย เพราะว่ามันเข้าเป้าของการศึกษา เป็นเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา
ขอทิ้งท้ายหน่อยหนึ่ง สังคมไทยถือกันว่า ใครบวชลูกจะได้บุญมาก ดังนั้น ถ้าใครช่วยฟื้นฟูประเพณีบวชเรียนให้มีชีวิตชีวามีสาระขึ้นมาอย่างแท้จริง คนนั้นหรือท่านผู้นั้นก็เท่ากับได้บุญมหาศาลจากการบวชลูกของพ่อแม่ทุกรายรวมกันทั่วประเทศไทย
ทั้งช่วยให้พ่อแม่บวชลูกแล้วได้บุญจริง ทั้งช่วยฟื้นฟูพระพุทธศาสนา และช่วยกู้สังคมไทยทั้งหมด พร้อมไปด้วยกัน
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ขอกราบนมัสการ จากประสบการณ์ของกระผมเอง กระผมมักจะไปถวายประสบการณ์และถวายการเล่าเรื่องต่างๆ ให้พระภิกษุนวกะได้รับทราบต่อเรื่องนี้ว่า บวชแล้วต้องมีเรียน ต้องปฏิบัติ แล้วก็จะพบภาพอะไรที่เป็นความมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนา ขนาดแค่เจ็ดคืนแปดวันก็เห็นผล บอกว่านี่แหละคืออนุสาสนีปาฏิหาริย์ที่แท้จริง
อย่าว่าแต่พระคุณเจ้าศีล ๒๒๗ ข้อ ซึ่งเป็นฐานของศีลที่นำไปสู่สมาธิและปัญญาโดยตรง แม้แต่ญาติโยมซึ่งเอาแค่ศีล ๕ แค่นั่นเองก็ยังได้เยอะแยะ แล้วพระคุณเจ้าทำอย่างไรต่อไป พบจากผู้ที่จัดหลายแห่งว่า ถ้าไปปฐมนิเทศอย่างนี้ พระคุณเจ้าที่เป็นพระภิกษุนวกะนี่เคยปฏิบัติแล้วจะได้ผล แล้วออกมาผิดสังเกตกับกลุ่มอื่นที่ไม่ได้มีการปฐมนิเทศเท่าที่ควร
ในการปฐมนิเทศตรงนี้ ปัญหาก็คือว่า ต้องหาคนปฐมนิเทศที่มีประสิทธิภาพ ตรงจุดนั้นก็คงจะเป็นหน้าที่ของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติด้วย ที่จะต้องดำเนินการ แล้วกระผมก็คิดว่า วันนี้ก็เป็นโอกาสดี เพราะผู้อำนวยการกองสำนักพุทธศาสนศึกษา ก็ได้มานั่งอยู่ที่นี้ด้วย ก็จะได้รับเรื่องนี้ไปว่า ต่อไปเราจะทำอย่างนี้นะ ก็ขอกราบนมัสการไว้
พระธรรมปิฎก: ขออนุโมทนา อันนี้เป็นจุดต่างๆ ที่เราจะไปดึงบทบาททั้งหลายที่ถูกต้องให้ฟื้นขึ้นมา
อีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอตั้งจุดสังเกตไว้ด้วยก็คือ โดยสอดคล้องกับวัฒนธรรมประเพณีของเรา ในเรื่องของวัดเราไม่ได้นึกถึงแต่เจ้าอาวาสหรือฝ่ายพระอย่างเดียว เพราะว่าชุมชนเป็นเรื่องของพุทธบริษัททั้งหมด
วัดเป็นของพุทธบริษัททั้งหมด พระอยู่ที่วัด แต่พระนั้นก็ทำหน้าที่ต่อชุมชน และชาวบ้านก็มาที่วัด มาทำกิจกรรมต่างๆ ที่วัด เพราะฉะนั้นชาวบ้านก็เอาวัดเป็นศูนย์กลางในหลายๆ อย่างมากมาย
ทีนี้ นอกจากพระที่เป็นเจ้าอาวาสจะมีบทบาทเป็นผู้นำแล้ว ตามปกติเดิมเราก็มีผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์ด้วย ซึ่งเราไม่ควรละทิ้ง และคฤหัสถ์ปัจจุบันนี้ยิ่งสำคัญ เพราะว่าทางด้านพระภิกษุตอนนี้ง่อนแง่นอยู่ บวชกันไม่ค่อยอยู่หนักแน่นมั่นคงเท่าไร
ในชนบทมีพระน้อยอย่างที่ว่าแล้ว สภาพเหล่านี้ ยิ่งเรียกร้องให้เราจะต้องสร้างผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์มาเป็นตัวประสาน และเป็นส่วนที่มาช่วยเสริมกำลังในยุคที่กำลังขาดแคลน อย่างโบราณเรามีมัคนายกอะไรต่างๆ เหล่านี้ มัคนายกนี่ก็ต้องฟื้น เพราะตอนนี้ก็อ่อนแอลงไปเหมือนกัน เนื่องจากไม่ได้รับการเอาใจใส่
ปัจจุบันนี้บางทีมัคนายกก็รู้เรื่องพระศาสนาดีกว่าพระ ซึ่งได้ยินมานานแล้ว แต่ที่ได้ยินกับตัวเอง คือตอนไปพักที่ภูเขา มีคนมาจากจังหวัดใดจำไม่ได้แล้ว แกเล่าสภาพพระที่วัดให้ฟัง ว่าที่วัดไม่มีพระอยู่นาน ต้องอาศัยพระพรรษาสองพรรษาเท่านั้นมาอยู่รักษาวัดกันไว้ เวลาทำพิธีกรรมในงานบุญกุศล ท่านก็ทำไม่ถูก ผมก็ต้องคอยแนะนำ เรียกง่ายๆ ว่าบอกบท
มัคนายกต้องคอยบอกบทให้พระ ว่าตอนนี้ทำอย่างนี้ ต่อไปทำอย่างนั้นๆ เห็นไหมว่าพระสูญเสียความเป็นผู้นำแล้ว แต่ก่อนนี้พระต้องคอยเป็นผู้บอกใช่ไหม ว่าอะไรเป็นอะไร แต่ตอนนี้มัคนายกบอก แม้แต่พิธีกรรมพื้นๆ ยังไม่รู้เรื่องเลย
มัคนายกนี่ก็สำคัญ เราจะเรียกอะไรก็แล้วแต่ จะต้องมีผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์ นอกจากนั้นเราจะเห็นว่า ผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์มีทั้งชายทั้งหญิง
ฝ่ายหญิงมีความสำคัญมากในการอุปถัมภ์และทำกิจกรรมในวัด อาจจะเป็นบทบาทอะไรก็แล้วแต่ เวลามีงานวัดทีโยมผู้หญิงเป็นกำลังใหญ่ทีเดียว เราควรถือโอกาสจัดปรับให้เข้ากับสภาพปัจจุบัน
รวมความว่าสาระสำคัญคือ ให้มีผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์ที่มาประสานกับฝ่ายพระ และข้อสำคัญผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์เขาไม่ได้นำอยู่แค่ที่วัดในพิธีเท่านั้น แต่เขามีความสำคัญเป็นที่นับถือของคนในหมู่บ้านด้วย
ถ้าทำได้อย่างนี้จริง ก็จะมีความหมายขึ้นมา จะช่วยให้ตัวบุคคล ไปช่วยยกสถานะของเรื่องทางหลักธรรมคำสอนขึ้นมาด้วย อันนี้เกี่ยวกับเรื่องของกระแสสังคม เรื่องของค่านิยม เรื่องของภาพที่ปรากฏ เช่นอย่างคนที่มีชื่อเสียง มีเกียรติในสังคมหรือในชุมชนนั้น ถ้าเขาเป็นผู้ที่สนใจใฝ่ธรรมะแล้ว ธรรมะหรือเรื่องพระศาสนาก็จะมีสถานะมีคุณค่ามีความสำคัญขึ้นมาด้วย
แต่ถ้าธรรมะไปอยู่กับคนที่ไม่มีค่า คนก็มองพระศาสนาเป็นเรื่องตกต่ำไปด้วย เลยกลายเป็นของไม่มีค่าหรือเป็นอะไรไปเลย
เพราะฉะนั้นจึงเป็นเรื่องที่มีความสำคัญ เราจะต้องฟื้นผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์ขึ้นมา ให้มาประสานกับฝ่ายพระ แล้วผู้นำฝ่ายคฤหัสถ์ก็จะมาเป็นตัวที่ช่วยกระตุ้นฝ่ายพระเองด้วย เพราะว่าตอนนี้เรากำลังขาดคุณภาพอย่างที่ว่า การหนุนด้านคฤหัสถ์จะทำให้ฝ่ายพระมีโอกาสฟื้นได้ดียิ่งขึ้น ฝ่ายคฤหัสถ์จะหนุนได้หลายเรื่องทีเดียว
เวลาทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติไปในชนบท อย่างจะไปจัดเรื่องเกี่ยวกับการศึกษาอบรมอะไรต่างๆ ญาติโยมจะมาช่วยเป็นกำลังในการเตรียมการอะไรต่างๆ ฉะนั้นเราก็ให้เข้ากระบวนไปด้วยกัน ทั้งพุทธบริษัทฝ่ายคฤหัสถ์และฝ่ายบรรพชิต ตอนนี้บางทีเรามองข้ามจุดนี้ไป
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบนมัสการนะครับว่า ความจริงในโอกาสต่อไป เมื่อมีสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดแล้ว ก็อาจมีต่อไปคือสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำอำเภอ และตำบล ลักษณะที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้พูดเมื่อสักครู่ ก็จะเป็นจริงเป็นจังมากขึ้นในทางปฏิบัติ
ปัญหาในขณะนี้ก็คือ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเกิดขึ้นมาเพียงแค่ไม่ถึงปี เรื่องเหล่านี้งานประจำจังหวัดเราก็ฝากไว้กับกระทรวงวัฒนธรรม ไปอยู่ที่ผู้ว่าราชการจังหวัด ฉะนั้นการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพจริงๆ ตามที่เราใฝ่ฝัน คงต้องใช้เวลา
ถ้าหากว่าการเคลื่อนไหวมีลักษณะการพัฒนาอย่างต่อเนื่องของสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติ โดยเฉพาะอย่างยิ่งที่เน้นที่ตัวบุคคล เพราะพูดถึงคนกับระบบ ในประเทศเราในสังคมของเรา คนสำคัญกว่าระบบ จนกว่าคนจะสร้างระบบขึ้นชัดเจน แล้วคนของเรามีความรับผิดชอบ อย่างเช่นสังคมตะวันตกที่เป็นส่วนหนึ่งที่เราเห็นชัดเจน ตรงนั้นจึงค่อยว่าไป
ตรงนี้ ก็คือประเด็นที่กระผมจะกราบนมัสการว่า เราจะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าอย่างไรก่อน เพื่อจะนำไปสู่จุดนั้น
การแก้ปัญหานี้เป็น ๒ ลักษณะใหญ่ๆ
ลักษณะแรก ก็คือเราจะตั้งศูนย์กลางขึ้น ให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้ ๒ ฝ่าย นั่นก็คือสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจะต้องปรับองค์กรตรงนี้ ที่จะแก้ปัญหาเฉพาะหน้าในลักษณะวิกฤตให้ได้ แล้วก็พยายามสวนลงไปในจุดที่สำคัญ แล้วก็ลองพิจารณาตรงนั้นด้วยความมีสติสัมปชัญญะ ว่าจะทำอะไร ได้แค่ไหน เพียงไร ให้มากที่สุด นั้นคือประเด็นที่หนึ่ง
ลักษณะที่สอง ในการแก้ไขก็คือ การที่เราจะมาดำเนินการในเรื่องแรกนั้นคือ เรื่องการศึกษา เผยแผ่ แล้วนำสู่การปฏิบัติ ถ้าเราทำตรงนี้ได้ ซึ่งมีมากมายหลายเรื่องที่จะต้องพูดถึงวิธีการ จะต้องเป็นกุศโลบายสลับซับซ้อนมาก
ถ้าเราทำตรงนี้ได้ ก็เท่ากับมาเสริมในเรื่องวัดต่างๆ ที่จะต้องปรับต้องพัฒนา มิฉะนั้นญาติโยมไม่เข้า ยกตัวอย่างเช่นกรณีตำรวจ ปรากฎว่า พระพยอมท่านบอกเลยว่า โยม พระทั้งหลายนึกไม่ถึงว่าตำรวจเข้าวัด เหมือนอย่างน้ำไหลออกมา คิดว่าเทมาแก้วเดียวแล้ว จะจบ นี่เทมาหลายแก้วยังไม่รู้จักจบเสียที พระก็ต้องปรับขึ้นมา
ตรงจุดนี้แหละครับ ก็จะเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้การพัฒนาระบบวัด พัฒนาพระภิกษุก็จะเริ่มขึ้น เพราะว่าพระอาจารย์ทั้งหลาย พระภิกษุก็อยากที่จะให้ญาติโยมเข้ามาปฏิบัติเยอะๆ มีอะไรขึ้นมา จะได้ไม่เป็นวัดร้าง ไม่เหงา
แต่ถ้าจะทำอย่างนั้นก็ต้องเน้นพุทธศาสตร์ เพราะชัดเจนแล้วว่าไสยศาสตร์เราไม่เอา นอกจากเราไม่เอาแล้ว ยังจะต้องประกาศประชาสัมพันธ์กันด้วยว่า อย่างนี้ไม่ใช่พระพุทธศาสนา อย่างนี้เป็น อย่างนี้ไม่เป็น ซึ่งตรงจุดนั้นการประชาสัมพันธ์อย่างที่กระผมได้กราบนมัสการไว้แล้วนะครับ จะเห็นชัดเจนเมื่อดำเนินการไปตั้งแต่เดือนตุลาคมครับ
อันนี้ก็เลยขอกราบนมัสการเสริมรับทราบว่ามันมีแง่คิดอย่างนี้ แล้วก็มีปัญหาตรงสำนักงานพระพุทธศาสนาประจำจังหวัดอย่างนี้ การแก้ปัญหาตรงนี้ก็มีเรื่องงบประมาณ เรื่องอะไรต่างๆ แต่กระผมจะรับคำแนะนำที่บอกว่า ถ้าแก้ตรงนี้ได้ งบประมาณหลั่งมาเอง ซึ่งก็คงจะต้องมีวิธีการหลายวิธี
กระผมอยากจะยืนยันให้ชัดเจนในทางปฏิบัติเลยนะครับว่า ขณะนี้บรรดาพุทธศาสนิกชน แล้วก็บรรดาญาติโยมอุบาสกอุบาสิกากำลังดีใจ แล้วก็พร้อมที่จะให้ความช่วยเหลือในทุกรูปแบบ ขอแต่เพียงว่าให้ข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ซึ่งเป็นตัวจักรสำคัญที่จะไปสนองงานคณะสงฆ์ และไปประสานงานกับรัฐบาล ให้ทำงานเถอะ แม้แต่ดาวกับเดือนยังหาให้ได้
เพราะฉะนั้นกระผมได้พบการสนับสนุนตรงนี้ จากบรรดาญาติโยมมากมายเลยนะครับ อันนี้ก็เลยขอกราบนมัสการว่า แต่เดิมกระผมแทบจะหมดความหวัง แต่ว่าบัดนี้พอจะเห็นได้เลือนลาง ซึ่งทั้งหมดจะได้รับแค่ไหนเพียงใดหรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับพุทธบริษัทที่พระพุทธองค์ได้ทรงฝากพระพุทธศาสนาไว้ กระผมดูแล้วยังไปได้ เพียงแต่เราปรับจากรูปแบบมาสู่เนื้อหาให้ชัดเจน
พระธรรมปิฎก: ก็ขออนุโมทนา เมื่อสักครู่นี้พูดเน้นเรื่องชนบท ทีนี้หันไปดูเรื่องทั่วๆ ไป เวลานี้เราเห็นข่าวสารข้อมูลออกสู่มวลชนในทางที่เป็นข่าวไม่ค่อยดีทั้งนั้น เรื่องพระสงฆ์ก็เป็นเรื่องพฤติกรรมที่นอกลู่นอกทางเสียมาก ซึ่งต้องดูปัจจัยหลายอย่าง ก็แน่นอนว่า ปัจจัยหลักเป็นเรื่องฝ่ายการพระศาสนาเอง เช่นการศึกษา แล้วก็การปกครอง
อย่างที่ว่าแล้ว การปกครองนี้ มีขึ้นเพื่อเกื้อหนุนการศึกษา หรือจัดสภาพแวดล้อมให้เอื้อต่อการศึกษานั่นเอง ทีนี้เมื่อจัดการปกครอง ถ้าไม่พัฒนาคน คือไม่มีแกนอยู่ที่การศึกษา การปกครองก็ตัน ต้องไปอยู่ที่อำนาจแล้วก็ไปจบที่การลงโทษ ก็อยู่กันแค่ควบคุม บังคับ ลงโทษ ซึ่งแก้ไขปัญหาระยะยาวไม่ได้
การปกครองเป็นเพียงมาช่วยตะล่อมไว้ สาระก็อยู่ที่การจัดสรรโอกาสให้เอื้อต่อการศึกษา พอการปกครองเข้าที่ หรือมีการปกครองเป็นเครื่องมืออย่างนี้แล้ว เราก็พยายามหนุนการพัฒนาคนด้วยการศึกษานี้ขึ้นไป ระยะยาวจึงจะแก้ปัญหาได้
ตอนนี้ทางพระเองก็ถูกปัจจัยภายนอกเข้ามาแข่งมาก โดยเฉพาะปัจจัยทางสังคม ในด้านข่าวสารข้อมูล ยุคนี้สังคมใช้ข่าวสารข้อมูลในทางที่สนองและกระตุ้นโลภะ โทสะ โมหะ กันมาก คือใช้เพื่อการหาผลประโยชน์ ใช้เพื่อการบริโภคการเสพบำรุงบำเรอ ใช้เพื่อการประทุษร้ายกัน และใช้ในทางลุ่มหลงมัวเมา ไม่ใช้ในทางสร้างสรรค์เท่าที่ควร น้อยนักที่ใช้ในทางสร้างสรรค์
สังคมไทยเรา แม้จะเป็นสังคมที่เข้ากระแสโลกแห่งบริโภคนิยม แต่ก็ต้องมองแยกให้ถูกว่า เขากับเราไม่เหมือนกัน เขาในที่นี้มุ่งไปที่ประเทศพัฒนาแล้ว อย่างเช่นฝรั่ง พวกฝรั่งนั้นเขาบริโภคมากก็จริง แต่เขาเป็นนักผลิตด้วย แต่สังคมไทยอาตมภาพเคยพูดว่าเป็น absolute consumer เป็นนักบริโภคโดยสมบูรณ์ หรือเป็นนักบริโภคเด็ดขาด
สังคมอเมริกันก็ตาม สังคมญี่ปุ่นก็ตาม แม้ว่าเวลานี้เขาได้ชื่อว่าเป็นสังคมบริโภค แต่เขาเป็นสังคมที่มีพื้นฐานของการผลิตมานาน ฉะนั้นเขาจึงยังมีความเป็นนักผลิตอยู่มาก แต่เขาไม่ได้พูดเน้น เพราะเป็นลักษณะที่สืบเนื่องมาจากเก่า เขามักพูดถึงลักษณะใหม่ ที่เด่นขึ้นมาในปัจจุบันคือบริโภคนิยม แต่ที่แท้นั้นลักษณะความเป็นผู้ผลิตของเขายังหนักแน่นมาก
ส่วนของไทยเรานั้นไม่มีพื้นฐานในด้านการผลิต มีแต่ความเป็นนักบริโภค ความเป็นนักผลิตไม่มี ดังนั้นสังคมไทยจะต้องเน้นเรื่องการเป็นนักผลิตให้ขึ้นมาดุลกับความเป็นนักบริโภค
เมื่อสังคมไหลไปในกระแสบริโภคนิยม สภาพการเสพและการบำรุงบำเรอฟุ้งเฟ้อ ก็มีอิทธิพลต่อวัดด้วย ถ้าพระไม่มีหลักก็ไหลตามเขาไป เวลานี้ปัญหาอยู่ที่นี่ด้วย พระจำนวนมากก็มาแข่งกันในเรื่องสิ่งฟุ้งเฟ้อแล้ว
ฉะนั้นต้องให้พระเข้ามาอยู่ในหลักที่ถูกต้อง นอกจากให้การศึกษาแล้ว ก็ต้องมีงานให้พระทำ การที่พระเขวไปนี่ หนึ่ง การศึกษาไม่มี ขาดความรู้เข้าใจ สอง ไม่รู้จะทำอะไร
เมื่อไม่มีงานถูกต้องที่จะทำ ก็ไปทำในเรื่องไม่เป็นเรื่อง หรือมีเวลามากอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ก็ออกไปในทางที่ไม่เข้าเรื่อง ถ้าพูดภาษาชาวบ้านก็คือต้องหางานให้พระทำ หรือให้ท่านทำงานของท่านที่ถูกต้อง ทีนี้เราก็ต้องจับให้ได้ว่างานของพระมีอะไรบ้าง
เมื่อเอาเข้าจริงก็คือต้องพัฒนาบทบาทที่แท้ของพระขึ้นมา ต้องยอมรับว่าพระจำนวนมากเคว้งคว้าง ไม่ได้ทำกิจของพระมานาน จนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ว่าพระมีหน้าที่อะไร
ถ้าไปถามว่าพระมีหน้าที่อะไร พระกี่องค์ตอบถูก ถ้าเราไปพูดว่าหางานให้พระทำ คนอาจจะไปนึกเหมือนกับให้ท่านไปทำงานอะไรที่หนักที่เหนื่อย แต่ที่จริงก็คือ ให้ท่านทำสิ่งที่เป็นการสร้างสรรค์ดีงามถูกต้อง ซึ่งเป็นหน้าที่ เป็นบทบาทที่แท้จริงของท่านนั่นเอง
บทบาทของพระมีอะไร ก็มีเรื่องการศึกษา (เล่าเรียน และปฏิบัติเอง) และสั่งสอน (สอนพระเณร และเผยแผ่ธรรมะแก่ประชาชน) รวมแล้วก็อยู่ที่การศึกษา สรุปลงในไตรสิกขาทั้งนั้น อันนี้เป็นแกนแน่นอน
ทีนี้เราก็ดูต่อไปอีกว่า เพื่อให้เนื้อหาสาระของพระศาสนาดำเนินไปได้ ลองสำรวจมาตั้งแต่ครั้งโบราณเลยว่ามีงานอะไรบ้าง แม้แต่งานก่อสร้างก็อย่างที่บอกไว้เมื่อสักครู่ ทำไมจึงต้องสร้างศาลาขึ้นมา ก็เพราะเขาจะต้องให้ประชาชนมาประชุมกัน เลี้ยงพระให้ท่านมีกำลังที่จะศึกษาและสั่งสอน แล้วตัวเขาเองก็จะได้ฟังธรรม โดยพระจะได้ใช้ศาลานั้นเป็นที่เทศน์ที่สอน ไม่ว่าจะบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา ก็เป็นเรื่องของการเจริญในการศึกษาหรือพัฒนามนุษย์ทั้งนั้น
งานทั้งหมดนี้จะมาบรรจบกันเข้าระบบที่ว่า ในที่สุดกิจการของพระศาสนาทุกอย่างมีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีจุดหมายร่วมกัน
แล้วทำอย่างไรเราจะทำให้พระมีงานแบบนั้น คืองานที่มาหนุนตัวสาระ ซึ่งจะมีได้หลายอย่าง พอเรามองถูก แม้แต่งานศิลปวัฒนธรรมต่างๆ ก็เข้ามาในนี้หมด ไม่ใช่มองแยกศิลปวัฒนธรรมไปเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ศิลปะก็เกิดขึ้นมาเพื่อหนุนการศึกษานี่แหละ มันมีจุดหมายรวมอันเดียวกัน มันเป็นระบบความสัมพันธ์ มันเป็นปัจจัยแก่กัน เขาสร้างสรรค์ศิลปะขึ้นมาหนุนการศึกษา พอพระและประชาชนมีการศึกษาดี มันก็ไปหนุนศิลปวัฒนธรรม ทำให้มีการสร้างสรรค์ที่ดีงาม เกิดความดีความงามขึ้นมาในสังคม ทั้งทางวัตถุและทางจิตใจ
พอศิลปวัฒนธรรมเจริญขึ้น ก็มาหนุนการศึกษา ซึ่งอาจจะมาในรูปที่ว่า ศิลปวัฒนธรรมเจริญขึ้นแล้วก็มาเรียกร้องการศึกษา ทำให้จำเป็นต้องมีการศึกษาพัฒนาต่อไป
เราต้องจับระบบความสัมพันธ์นี้ให้ได้ ว่าตัวแกนงานของพระคืออันนี้ แล้วเพื่อหนุนงานแกนนี้ จะให้พระมีงานอะไรๆ ได้บ้าง แล้วโยงกันได้หมด
ขอให้ไปศึกษาอดีตดู เราอาจจะรู้ว่า ที่พระมีงานมากมายก็เพราะอย่างนี้เอง คือมันมีระบบความสัมพันธ์ที่เป็นปัจจัยเกื้อหนุนกัน เราจึงต้องหาทางให้พระมีงานที่ถูกต้อง คืองานที่เป็นระบบซึ่งมาหนุนกันให้พระศาสนาเจริญขึ้นเพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน เพื่อให้ชีวิตและสังคมของเขางอกงาม อยู่ดีมีสุข ตามพุทธพจน์ที่ว่า “โลกานุกัมปายะ” คือเพื่อเกื้อการุณย์แก่ชาวโลก
รวมความก็คือต้องให้พระไม่เคว้งคว้าง ถ้าพระไม่รู้จะทำอะไร เดี๋ยวก็ไปทำเรื่องไม่เข้าเรื่อง แล้วโยมก็มาติเตียน ทั้งหมดนี้ก็เข้าระบบความสัมพันธ์นั่นเอง คือเป็นระบบองค์รวมนั่นแหละ ที่เดี๋ยวนี้ชอบพูดกัน
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ขอกราบนมัสการท่านเจ้าคุณอาจารย์ ดูท่านเหนื่อยแล้วครับ
พระธรรมปิฎก: ก็ไม่เป็นไร เหนื่อยจนหายเหนื่อยแล้ว ตอนแรกแย่นะ เจริญพร เพลียเต็มที คือถึงขั้นต้องนอนแล้ว
ขออภัย ต้องขอพูดเรื่องส่วนตัวหน่อย พอความดันและชีพจรมาสูงขึ้นไปๆ แล้ว คราวนี้เท่าไรเท่ากัน หลังจากเสร็จแล้วจึงจะทรุดอีก บางทีหวิวจนแทบจะวูบไปเลย แล้วก็จะไปไออย่างหนักต่อ พอวันรุ่งขึ้นอีกสองวันก็จะเจ็บระบมหน้าอก แล้วก็เป็นไปตามวงจรของมัน ไม่เป็นไร เมื่อเป็นเรื่องสำคัญก็ต้องว่ากัน ไม่ต้องกลัว
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมเองปฏิบัติอยู่ เมื่อเช้าวิ่งไป ๑๐ กิโลเมตร พอวิ่งเสร็จก็เข้าสมาธิครึ่งชั่วโมง หรือ ๔๐ นาทีก็พยายามทำ เห็นจากการปฏิบัติชัดเจนว่า ทำมากทุกข์น้อย ทำน้อยทุกข์มาก ไปปฏิบัติงานคราวนี้ถามว่ากลัวหรือไม่ ตอบว่ากลัว แต่มีความเชื่อมั่นอยู่ ๒ เรื่อง
หนึ่ง เชื่อมั่นในองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า สิ่งที่พระองค์ได้สั่งสอน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในเรื่องของความมีสติคือไม่ประมาท แล้วก็อยู่กับปัจจุบันถึงจะเกิดสัมปชัญญะ แล้วจะแก้ปัญหาได้ เพราะฉะนั้นกระผมจะต้องไม่ไปอดีต ไม่ไปอนาคตอะไรทั้งสิ้น จดจ่ออยู่กับสิ่งที่จะทำ แล้วทำให้ดีที่สุด แล้วก็นึกถึงประโยชน์ของส่วนรวมเป็นที่ตั้ง อุทิศถวายชีวิตนี้แด่พระพุทธศาสนา
กระผมมั่นใจว่าสิ่งต่างๆ เหล่านี้จะต้องมีคนเห็น เพราะถ้าไม่มีคนเห็น กระผมเองก็คงไม่ได้มาอยู่ในตำแหน่งนี้ ที่จะไปทำงานสำคัญของบ้านเมืองขนาดนี้ได้แน่นอน ก็แสดงว่าที่ทำมาทั้งหมดด้วยจิตที่ยึดมั่นในประโยชน์ของส่วนรวม ต้องมีคนเห็น ฉะนั้นจึงเกิดเป็นความรู้สึกฮึกเหิมใจ
แต่อย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้สั่งสอนอยู่เสมอว่า จะต้องกระทำการด้วยปัญญา แต่ตรงนี้ก็เป็นโอกาสที่เรียกว่าเข้าไปสู่กระบวนการที่หลายๆ ฝ่าย ได้บอกกับกระผมว่า นี่จะต้องเจอปัญหาอย่างโน้นอย่างนี้ ที่สื่อมวลชนลงเต็มที่แล้ว แต่พบว่าในทางปฏิบัติจริงๆ พุทธบริษัทมหาศาลที่ได้ให้ความช่วยเหลือ ให้ความเมตตาส่งข้อมูลนั้นมา ส่งข้อมูลนี้มา แล้วก็ปวารณาตนที่จะทำงาน
กระผมมีอยู่เรื่องหนึ่ง ในการไปคราวนี้ อย่างที่ได้เมตตาสั่งสอนว่า หางานให้พระท่านทำในชนบท ซึ่งกระผมเห็นด้วย
ทีนี้ในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ กระผมขาดผู้ปฏิบัติงาน แล้วก็มีลักษณะในเชิงราชการ ถ้ากระผมจะกราบนมัสการนิมนต์พระคุณเจ้าที่มีศักยภาพ ที่มีความพร้อม ไปช่วยทำงานที่สำนักงานพระพุทธศาสนาบ้าง ไม่ใช่ลูกจ้างไม่ใช่อะไรทั้งสิ้น ไปช่วยกันทำงานที่ตรงนั้น จะเป็นเรื่องที่เสื่อมเสียหรือไม่ จะพิจารณาเป็นประการใดครับ
พระธรรมปิฎก: ก็ต้องระวัง ประชาชนเขามองดู บางส่วนก็เพ่งอยู่ เพราะฉะนั้นจุดอะไรที่ล่อแหลมหรือที่เรียกว่า sensitive จะต้องระวังหน่อย เพราะว่าแม้ทำถูก แต่ภาพที่ออกไป ถ้ามีคนไปพูดสะกิดในทางที่ไม่เข้าใจนิดเดียว ก็ไปเลย
เพราะฉะนั้นบางอย่างต้องรอไว้ให้เกิดความเข้าใจ ให้เห็นแนวทางกันชัดเจนก่อน พอชัดเจนแล้วหลายอย่างเข้ามาได้ ทำได้
ทีนี้จุดแรกที่สำคัญ เราต้องให้ชัดว่าพระไปที่นั่นในฐานะอะไร
เพราะว่าชาวบ้าน โดยเฉพาะในชนบท เขามีความรู้สึกไวในเรื่องนี้ แม้เขาไม่ได้เพ่งไม่ได้จ้อง แต่เป็นเรื่องความรู้สึกทางด้านวัฒนธรรม ฉะนั้นบางอย่างอาจจะต้องรอให้ความเข้าใจชัดเจน เมื่อใดเขารู้ความมุ่งหมาย เขามั่นใจมีศรัทธาขึ้นมา เช่นมีศรัทธาต่อสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ตอนนี้ทำอะไรก็เชื่อหมด ไม่ว่าจะทำอะไรก็มองไปในแง่ดีหมด
ด้านหนึ่งที่ต้องให้เขาชัด คือในแง่ความสัมพันธ์ และสถานะของพระในการไปนั้น แม้แต่คำพูดเช่น พระไปช่วยงาน ชาวบ้านก็เริ่มตั้งข้อสงสัยว่า ไปช่วยอะไร จึงเป็นเรื่องที่จะต้องเคลื่อนไหวก้าวกันไปด้วยความระมัดระวัง ไม่ประมาท แล้วก็อย่างมั่นคง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ที่กระผมต้องขอกราบนมัสการถามเรื่องนี้ก็เพราะอย่างนี้ครับ ขณะนี้เราจะพบว่าในช่วงค่ำคืนหรือตลอดทั้งวัน มีรายการธรรมะมากมาย ซึ่งญาติโยมก็มีความเหงามากในจิตใจ แล้วก็วังเวง ก็เลยมาช่วยทำบุญเป็นค่ารายการสถานี แล้วให้พระท่านมาพูดให้ญาติโยมฟังนะครับ เป็นสัญญาณส่อออกมาว่า สังคมเริ่มเห็นแล้วว่า ความทุกข์มีเยอะเหลือเกิน
ตรงจุดนี้กระผมก็ได้ยินทางพระอาจารย์ พระภิกษุทั้งหลาย ก็ด่า ใช้คำพูดว่าต้องด่า พวกญาติโยมทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า ทำอะไรกันอยู่ ทำไมเงียบ ทำไมปกปิด
กระผมพิจารณาง่ายๆ เบื้องต้นว่า ไม่เห็นมีอะไรที่จะดีไปกว่านิมนต์พระคุณเจ้าไปนั่งดูเลยว่านี่เขาทำกันอย่างนี้ แล้วถ้าพระคุณเจ้ามีอะไรที่จะแนะนำได้ก็ยิ่งดี แล้วพระคุณเจ้ามีอะไร พระคุณเจ้าก็จะได้เอาสิ่งเหล่านี้ไปพูด นี่ครับที่เป็นความคิดที่ริเริ่มออกมา แต่ว่าก็ไม่แน่ใจ จึงขอกราบนมัสการถาม
พระธรรมปิฎก: อันนี้อาจจะมาในรูปของการให้ข่าวด้วย ต้องใช้คำพูดให้ถูกต้อง ให้เห็นว่านี่เรานิมนต์พระมาให้ช่วยดูแลในเรื่องพระ ถ้าอย่างนี้ก็เข้าเรื่องแล้ว
หมายความว่า เดี๋ยวนี้มีงานที่พระทำอยู่แล้ว เช่น ทางสื่อมวลชน ทางวิทยุกระจายเสียง และในเรื่องเหล่านี้โยมก็ได้ยินกัน ในสังคมก็พูดกันมาก ว่ามีปัญหาบ้าง ไม่มีปัญหาบ้าง ทำดีก็มี ทำไม่ดีก็มี ทีนี้ทางสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเอง จะทำอะไรก็ลำบาก เพราะเป็นเรื่องของพระ ต้องเคารพท่าน
เราต้องพูดในทางดีว่าเคารพท่าน เราก็เลยต้องขออาศัยพระคุณเจ้าให้ท่านมาช่วยกันดูแลในเรื่องนี้ด้วย อะไรแบบนี้ ถวายสถานที่ให้ท่าน คือ ไม่ใช่ไปบอกว่าเราเอาท่านมาช่วยงานเรา แต่เราไปพึ่งท่าน แล้วเพื่อความสะดวก ก็เลยถวายสถานที่ให้ท่านมาใช้ ท่านจะได้ดูแลเรื่องงานที่เกี่ยวกับพระ อะไรแบบนี้ อย่างนี้ก็ดูสบายใจ
ญาติโยมได้ฟังว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติดูแลเอาใจใส่พระสงฆ์มาก ช่วยหนุนพระสงฆ์ให้ท่านทำงานได้ดี ก็กลับมองภาพบวกไปเลย ดังนั้นจึงอยู่ที่ลักษณะวิธีดำเนินการ และแม้แต่ถ้อยคำในการให้ข่าวสาร เพราะฉะนั้นฝ่ายให้ข่าวสารคงสำคัญมาก ต้องเน้นการประชาสัมพันธ์ที่มีประสิทธิภาพ แล้วก็สื่อสารและให้ข่าวสารต่างๆ ให้เกิดความเข้าใจที่ดี
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมขอน้อมรับเรื่องนี้ไปดำเนินการ แล้วผลจะเป็นประการใด ก็จะมากราบนมัสการในโอกาสต่อไป
มีอีกเรื่องหนึ่งครับ เขาบอกว่าตำรวจมาแล้ว จะมาจับพระสึกหรืออย่างไร
พระธรรมปิฎก: ท่านก็ต้องพูดเล่นๆ ซิ ใช่ ตำรวจมาแล้วก็ต้องจับพระไม่ดีสึก แต่ตำรวจคนนี้ไม่เหมือนกับที่คุณคิดหรอก ไม่ใช่เป็นตำรวจประเภทจับโจร แต่เป็นตำรวจที่ทำงานมาเยอะทางด้านการศึกษา ผ่านมาแต่ในเรื่องการสร้างคน สร้างตำรวจที่จะให้ดี จึงไม่ใช่มุ่งมาปราบ แต่มาปลุกมาช่วยกันปั้น ช่วยหนุนพระที่ท่านทำดีให้ท่านมีกำลังต่างๆ เราก็ดึงเข้าทางดีไปเลย
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบนมัสการว่า เรื่องนี้กระผมได้ตอบไปอย่างที่เมตตาแนะนำบางส่วนแล้ว แต่เรื่องนี้จริงๆ แล้วถ้าจะให้มีผลออกมาจริงๆ ต้องเป็นเรื่องที่พระคุณเจ้าช่วยกรุณาเมตตากระผมด้วย ถ้าหากพระคุณเจ้าพูดคำเดียว มันมีน้ำหนักมากกว่ากระผมพูดตั้งล้านคำ
แต่กระผมก็ได้แสดงไป บอกว่ากระผมและเพื่อนข้าราชการที่สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มาสนองงานเป็นผู้รับใช้คณะสงฆ์ ไม่ใช่ว่ามาดำเนินการในลักษณะที่ไปชี้ไปทำอะไรได้ทั้งสิ้น ไม่ใช่ ถ้าทำอย่างนั้นก็บาปตายเลย
เราต้องการมาหาบุญ เราไม่ต้องการมาหาบาป เพราะฉะนั้นการดำเนินการต่างๆ ในเรื่องของสิ่งที่ไม่ถูกต้องในวงการของคณะสงฆ์ซึ่งมีอยู่แน่นอน ทั้งนี้เพราะเหตุผลหลายประการ ก็เป็นเรื่องของคณะสงฆ์ต้องจัดการกันเอง
กระผมในฐานะเจ้าหน้าที่ ที่มีหน้าที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ ก็ได้แต่เพียงเสริม ส่งเสริม แล้วก็ช่วยเหลือรับใช้ อย่างเช่นเสริมเรื่องประสิทธิภาพในเรื่องของพระวินยาธิการ และด้านพระวินัยธรให้ไปดำเนินการ เมื่อเสร็จจากพระคุณเจ้าแล้ว ผ่านคณะสงฆ์แล้ว อันนี้เป็นหน้าที่ของฝ่ายกระผมเป็นฝ่ายบ้านเมือง จะต้องไปดำเนินการต่อไป
การดำเนินการทางด้านกฎหมาย แม้จะมีอำนาจ อย่างเช่นตำรวจ ก็ควรจะต้องใช้ความละมุนละม่อม เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องของความละเอียดอ่อน กระผมได้ตอบไปอย่างนี้
ไม่ทราบว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์เห็นเป็นประการใด และมีอะไรจะแนะนำ กระผมขอน้อมรับ
พระธรรมปิฎก: ที่สำคัญก็มีเรื่องการแก้ปัญหาพระสงฆ์ด้วย อย่างที่พูดเมื่อสักครู่นี้ เรื่องพฤติกรรมนอกลู่นอกทาง อันนี้เราก็คงต้องเน้นเหมือนกัน เพราะว่าปัญหามันเยอะ แต่การแก้ปัญหาโดยวิธีไปรบกับพวกทำผิดทำร้ายนี่มันไม่รู้จักจบ การแก้ปัญหาอย่างหนึ่งก็คือ การแก้โดยไม่ต้องแก้ ซึ่งต้องทำไปด้วยกัน
การแก้ด้วยการแก้ ก็คือการแก้โดยการคุมการกำจัดอะไรแบบนี้ ก็ต้องทำอยู่บ้าง แต่มันไม่ใช่การแก้ปัญหาที่แท้
การแก้ปัญหาที่แท้ก็คือ เปลี่ยนเป็นการสร้างสรรค์ เมื่อเอาการสร้างสรรค์เข้ามาแทน เหมือนอย่างที่ว่า ถ้ามีอะไรต้องทำที่เป็นการสร้างสรรค์ดีๆ แล้วเขาเกิดมีแรงใจชอบ อยากจะทำ มีศรัทธามีฉันทะ พอเขาหันมาทำเรื่องที่ดี ก็เลยไม่มีเวลาที่จะไปทำเรื่องไม่ดี ก็เลยลืมทำเรื่องไม่ดีไปเอง
จึงเคยพูดบ่อยๆ ว่า เด็กที่ไปทำอะไรต่ออะไรที่ไม่ดี บางทีก็เป็นเพราะว่าเขาไม่มีอะไรจะทำที่เป็นการสร้างสรรค์ ถ้าเขามีอะไรต้องทำ มีสิ่งที่เขานึกจะทำอยู่เรื่อยนี่ เขาก็เลยลืมเรื่องร้าย เขาก็เลยไม่เอาใจใส่เรื่องเหลวไหล
นอกจากนั้นก็คือใจ พอมีงานสร้างสรรค์ที่จะต้องมาร่วมกันทำ ใจก็จะมาร่วมกันในการที่จะทำ ก็เลยกลายเป็นว่าเลิกขัดแย้ง เลิกทะเลาะกัน แต่ถ้าไม่มีอะไรจะทำ ที่เป็นการสร้างสรรค์ เขาก็ได้แต่มองกันไปมองกันมา แล้วก็ขัดหูขัดตาเกิดเรื่อง แต่ถ้ามีเรื่องจะทำ เขาจะเรียกร้องความร่วมมือจากกัน แล้วจะแก้ปัญหาไปเลย
ทีนี้เด็กปัจจุบันนี้ เหมือนกับว่าไม่มีอะไรจะทำ มีแต่เรื่องเสพ เรื่องบริโภค ก็คิดแต่ว่าจะไปกินอะไร จะไปดูอะไร จะไปหาความสนุกสนานที่ไหน เข้ากระบวนการแย่งกันสุข แย่งกันเสพ ก็มองกันเป็นคู่แข่ง หรือจะหาทางกีดกั้นกันออกไป เดี๋ยวก็ขัดใจกัน เพ่งจ้องว่าใครมันอย่างไร ไอ้พวกโน้นมันไม่ถูกกับเรา จะต้องไปจัดการมัน ไปเพ่งจ้องคนเพราะไม่มีงานสร้างสรรค์ที่จะทำ ฉะนั้น เรื่องการแก้ปัญหาพระไม่ดี ก็ต้องเน้นเรื่องในทางสร้างสรรค์ที่ว่าเมื่อสักครู่นี้ คือการที่จะให้ทำอะไร
อาตมภาพอยากจะแทรกเข้ามาตรงนี้นิดหนึ่ง คือเรื่องศิลปวัฒนธรรม ซึ่งควรจะศึกษากันว่า ในสังคมไทยนั้นศิลปวัฒนธรรมเป็นส่วนขยายงอกออกมาจากพระศาสนา แล้วก็มาเป็นส่วนประกอบช่วยเสริมพระศาสนาขึ้นไป แล้วก็มาด้วยกันโดยตลอด
ตอนนี้เราคงต้องมาดูว่า งานทางศิลปวัฒนธรรมนั้น มีอะไรที่พระจะทำได้บ้าง โดยเฉพาะที่เป็นเรื่องเนื่องกับวัด เพราะวัดนี่ที่จริงเดิมเป็นแหล่งเกิดของวัฒนธรรมที่แพร่หลายออกไป ศิลปวัตถุ ศิลปกรรมและสถาปัตยกรรม เกิดขึ้นที่วัดทั้งนั้น
ศิลปวัฒนธรรม ตอนนี้ก็ตั้งเป็นกระทรวงไปแล้ว ถ้าเราจับอันนี้ได้ ก็ต้องมองว่า ทำอย่างไรจะเอามาโยงกับเรื่องของพระศาสนา เพราะที่จริงแยกกันไม่ได้โดยเด็ดขาด
เรื่องวัฒนธรรมก็ไปจากพระศาสนาและเพื่อพระศาสนา ทำไมเราทำงานสร้างสรรค์ทางวัฒนธรรมขึ้นมา ก็เพราะได้รับแรงบันดาลใจจากพระศาสนา จึงทำให้เกิดวัฒนธรรม ทำให้เกิดศิลป และการที่เกิดการสร้างสรรค์ผลงานที่เขาเรียกว่า งานรังสรรค์ทางศิลปวัฒนธรรม ขึ้นมาเพื่ออะไร ก็เพื่อมาจรรโลงพระศาสนาอีกนั่นแหละ
ศิลปวัฒนธรรมเป็นที่แสดงออกของศรัทธา และจินตนาการจรรโลงใจจากพระศาสนา และพร้อมกันนั้นมันก็มาเกื้อหนุนพระศาสนา เพื่อมาช่วยกิจการพระศาสนาต่างๆ ไม่ว่าดนตรี ไม่ว่าจิตรกรรม ไม่ว่าศาสนวัตถุต่างๆ อย่างที่เราหล่อพระพุทธรูปอะไรต่างๆ เหล่านี้ ก็มาจากเรื่องพระศาสนาทั้งนั้น
ที่พูดนี้ มิได้หมายความว่าทุกอย่างในศิลปวัฒนธรรมไทยมาจากพระพุทธศาสนา แต่บอกได้ว่ามีพระพุทธศาสนาเป็นหลัก เป็นแหล่งใหญ่แห่งแรงบันดาลใจ และวัดเป็นศูนย์รวมใหญ่แห่งชีวิตของชุมชน
อย่างที่รู้กันดีว่า ในสังคมไทยแต่เก่าก่อน แม้แต่เรื่องสนุกสนานบันเทิงของชาวบ้าน การมหรสพในคราวใหญ่ๆ ก็ไปมีกันที่วัด ถึงจะว่าไม่ใช่กิจของพระ แต่ในเรื่องอย่างนี้ คนโบราณก็มิใช่โง่ เขารู้ว่า ในเรื่องนั้นๆ ส่วนของธรรมกับส่วนของกาม จะโยงกันที่จุดไหน จะแยกกันที่จุดใด และจะร่วมหรือจะเริดกันในแง่ไหนๆ
ถ้าเราไม่สามารถโยงเรื่องนี้ได้ ต่อไปวัฒนธรรมก็จะลอยเคว้งคว้างด้วย พอวัฒนธรรมขาดลอยออกไป วัฒนธรรมนั้นก็จะหยุดจะนิ่งตาย กลายเป็นเพียงเรื่องของอดีต คือเป็นซากของอดีต ที่มีค่าเพียงด้านพาณิชย์ หรือเป็นเรื่องของธุรกิจไปเลย จึงต้องสืบสานให้ได้ เพราะวัฒนธรรมสืบเนื่องมาจากเก่า ถ้ากระบวนความสืบเนื่องขาดตอนไป มันก็ขาดความหมาย ความหมายก็ด้วน แล้วต่อไปมันก็เสื่อม
เพราะฉะนั้นจะต้องผูกโยงกัน กับตัวปัจจัยที่เกี่ยวข้องหรือองค์ประกอบที่ร่วมกันอยู่เดิมนี้ให้ได้ ถ้าเป็นคนที่เก่งจริง ก็จะต้องสืบให้ได้ว่า ศิลปวัฒนธรรมส่วนนี้ แง่นี้ มันเกิดขึ้นได้เพราะอะไร
อย่างเรื่องวรรณคดี ส่วนใหญ่ก็มาจากเรื่องทางพระศาสนา ทำให้เกิดแรงบันดาลใจและจินตนาการขึ้นมา หรือไม่ก็แฝงความเชื่อ ความหมาย หรือคติทางพระศาสนาไว้ เพราะฉะนั้น เมื่อมาถึงจุดนี้ แม้แต่ดูงานของพระ พระเก่าๆ ก็มีงานทางศิลปวัฒนธรรมด้วย เพราะเป็นงานพระศาสนา
ทีนี้พอสังคมเชื่อมทุกส่วนประกอบได้หมด ก็จะมองเห็นโยงกันหมดเลยทั้งสังคม แต่เวลานี้มันโยงกันไม่ได้ สังคมไทยจึงเหมือนกับเป็นสังคมแยกส่วน ตอนนี้แม้แต่เรื่องวัฒนธรรมก็เหมือนจะแยกไปเป็นอีกเรื่องหนึ่งแล้ว สังคมที่จะดีต้องสามารถสานโยงองค์ประกอบทุกอย่างให้สัมพันธ์เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน
ทั้งหมดก็คืออันเดียว แล้วแต่ละอย่างก็เป็นแง่มุมด้านต่างๆ ของสิ่งเดียวนั่นแหละ และส่วนเหล่านั้นก็มาหนุน มาเกื้อ มาเป็นปัจจัยเสริมกันในแง่ต่างๆ แล้วก็ไปด้วยกัน ถ้าไม่เห็นความสัมพันธ์อย่างนั้นมันจะไปด้วยกันได้อย่างไร
ศิลปวัฒนธรรมนั้น แน่นอนว่าเป็นเรื่องใหญ่มากที่เจริญคู่มากับพระศาสนา โดยมีบทบาทสำคัญที่ช่วยให้พระศาสนาสื่อออกไปสู่สังคมในวงกว้าง ไปสู่ประชาชนได้ทุกระดับ แล้วก็มีความหมายถึงการสื่อความเป็นชาติอีกด้วย กลายเป็นเรื่องทางประวัติศาสตร์ที่โยงอะไรต่ออะไรไปหมด จนถึงเอกลักษณ์อะไรๆ มากันเป็นแถวเลย
ถ้าเราโยงไม่ได้ ก็หมายความว่าเราจะไม่ประสบความสำเร็จในการสร้างสรรค์สังคมโดยรวม เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงเป็นจุดหนึ่งที่ควรจะพยายามทำให้ได้ แล้วพระกับโยมก็มาร่วมมือกันในเชิงศิลปวัฒนธรรมด้วย เพราะนี่เป็นส่วนที่จะโยงจากตัวเนื้อแก่นคือธรรมะ ออกไปสู่สังคม โดยอาศัยสื่อทางวัตถุและรูปธรรม ตลอดจนนามธรรมที่พอสัมผัสได้ง่าย
หมายความว่า พระจะเอาเนื้อไปพูดทันที บางคนก็รับได้ บางคนก็รับไม่ได้ จึงเกิดมีรูปแบบที่พัฒนาเป็นศิลปวัฒนธรรมขึ้นมา แม้แต่ประเพณีการกราบไหว้ เริ่มต้นก็ต้องมีการกราบพระเป็นแบบ มีคำไหว้พระเป็นแบบ มีการรับศีล มีการอาราธนาศีล มีการอาราธนาธรรม อะไรต่างๆ เหล่านี้
วัฒนธรรมประเพณี ทั้งวัตถุ ทั้งนามธรรม เกิดขึ้นมา ก็เพื่อสื่อกับประชาชน เอาเนื้อหาสาระออกไปสู่สังคมวงกว้าง โดยวิธีการที่หลากหลาย ให้สนองความต้องการของประชาชน ในระดับต่างๆ กัน
คนที่เอาเนื้อมาปุ๊ป ให้ไปปั๊ป รู้ปั๊ป ได้ปุ๊บ ก็มีอยู่ แต่น้อยเหลือเกิน ส่วนใหญ่ต้องมีเครื่องสื่อ เพราะฉะนั้นศิลปวัฒนธรรมก็คือ เครื่องมือสำคัญที่เป็นสื่อ เพื่อให้พระศาสนาส่วนเนื้อแท้ที่เป็นสาระของธรรมะแพร่ออกไปสู่สังคม ให้เป็นประโยชน์แก่ประชาชน แล้วก็ออกมาในรูปของความงดงาม เป็นความงดงาม ที่มากับความดีงาม
ศิลปวัฒนธรรมนี่เป็นเรื่องของความงาม เรามีพระศาสนาเป็นความดี แล้วก็มีศิลปวัฒนธรรมที่เป็นความงามมาด้วย ความงามเข้าถึงประชาชนง่ายกว่าความดี เมื่อดีได้รับการแต่งสรรให้งาม หรือแม้แต่สวยงาม แล้วมันก็ล่อใจให้คนอยากจะรับดีด้วย
ทีนี้เราต้องให้งามไปกับดี ถ้าจะให้แต่งามไปอย่างเดียว บางทีก็ไม่มีเนื้อหาสาระ ตอนนี้สังคมกำลังจะมีปัญหา เพราะจะเอาแต่งาม ซึ่งเมื่อขาดดี ในไม่ช้าก็หมดงามไปด้วย เพราะเมื่องามนั้นไปเปื้อนด้วยความสกปรก ก็หมดงาม กลายเป็นว่าที่จริงไม่งามเลย เพราะฉะนั้นจะติดแต่งามโดยไม่มีดี จึงไปไม่ตลอด
ให้งามไปกับดี ก็คือ ศิลปวัฒนธรรมนั้นสืบออกมาจากพระศาสนา แล้วก็มาสื่อพระศาสนาด้วย ให้โยงกันอยู่ แล้วมันก็ได้ทั้งดี ทั้งงาม
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมมีประสบการณ์เรื่องนี้ เมื่อเร็วๆ นี้ สรุปเรื่องของท่านเจ้าคุณอาจารย์ที่พูดทั้งหมด ที่มีปัญหาเพราะผู้ใหญ่ที่มีอำนาจในบ้านเมืองไม่เข้าใจ
กระผมพบด้วยตัวเอง คือมีการประชุมเรื่องเอกลักษณ์ของชาติ โดยกระทรวงวัฒนธรรม กระผมก็ติดต่อกับผู้ที่เข้าไปร่วมประชุมว่า อยากจะไปพูดเรื่องของพระพุทธศาสนา เพราะว่าจะเชื่อมโยงเข้าไป
ทางผู้ที่มีอำนาจที่มาประชุมเรื่องเอกลักษณ์ก็บอกไม่เกี่ยว วัฒนธรรมเอกลักษณ์ของชาติไม่เกี่ยวกับพระพุทธศาสนา
พระธรรมปิฎก: แสดงว่า ขออภัย ความรู้ของท่านที่พูดมานั้นไม่มี ท่านไม่รู้เรื่องราวเป็นมา
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ผู้ที่พูดเป็นผู้อยู่ระดับสูงอย่างน่าตกใจ ที่พูดคำนี้ออกมา กระผมก็เลยต้องถอย
กระผมก็พิจารณาว่า ตราบใดก็ตามถ้าเราเป็นคนอื่นที่ไม่มีหน้าที่เกี่ยวข้องโดยตรงไปพูด ไม่มีความหมาย
เพราะฉะนั้น บัดนี้มีโอกาสแล้ว ก็จะรับคำแนะนำสั่งสอนไปทำต่อนะครับ
กระผมเองก็มีความเดือดร้อนในเรื่องการเข้าไปคราวนี้ รู้ตัวว่าอยู่ท่ามกลางกลุ่มคนที่เป็นกันต่างๆ ตรงนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะกลัว แต่ก็เป็นเรื่องของเหตุผลอย่างที่กราบนมัสการไว้แล้ว
ประเด็นนี้ติดอยู่ในใจ ก็คงอยากนมัสการถาม แต่ก็ไม่ชัดเจนไม่แน่ใจ เรื่องความควรมิควร แต่ในขณะเดียวกันก็ได้รับเอกสารมาชิ้นหนึ่ง ผู้ที่มาในคณะนี้ก็อยากให้กระผมได้สอบถาม ซึ่งก็ตรงกับความคิดกระผมอยู่พอดี
ถามว่า ตามแนวความคิดของท่านเจ้าคุณอาจารย์ ในการแก้ไขต่อการที่องค์กรของชาวพุทธซึ่งหลากหลาย ทำให้ชาวพุทธเกิดความแตกแยก ไม่เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ทำให้การพัฒนาของชาวพุทธมีผลกระทบนั้น จะมีการแก้ไขได้อย่างไร
อันนี้เป็นเรื่องที่หลายส่วนเข้าไปขายบุญกัน หลายส่วนไปขายอะไรกันก็ไม่ทราบ แล้วเช็คไปเช็คมา กระผมสรุปได้เลย “ผลประโยชน์” แล้วบอกได้เลย เป็นเรื่องของกลุ่มผู้ใกล้ชิด โดยที่ท่านเองอาจจะไม่ทราบ ท่านเองอาจจะนึกไม่ถึงก็มีอยู่ เป็นเรื่องดังที่ปรากฏเป็นข่าวสารกันเยอะแยะเลย ก็ขอกราบนมัสการว่า ปัญหาดังกล่าวจะแก้อย่างไร
พระธรรมปิฎก: เจริญพร อันนี้เป็นปัญหามานานแล้ว ในหมู่พุทธศาสนิชนหรือพุทธบริษัทไทยเรานี่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่มีเอกภาพ กระจัดกระจายมาก แต่เราก็ต้องยอมรับว่ามันเป็นผลของความเสื่อมที่สะสมเหตุปัจจัยมานานแล้ว จึงปรากฏอาการขึ้นมา แม้แต่พฤติกรรมไม่ดีไม่งามอะไรต่างๆ ของพระที่มีมานานหลายปีนั้น ก็เป็นผลของการสะสมเหตุปัจจัยมายาวนาน
เคยพูดนานแล้ว ตอนที่เกิดแผลพุพองขึ้นมานี่ มันเป็นปรากฏการณ์จากปัจจัยที่สะสมมานาน ที่เลือดมันเสีย ฉะนั้นอย่าไปมัวติดอยู่แค่ฝีพุพองเลย ต้องไปดูข้างใน ว่าเหตุปัจจัยที่แท้เป็นอะไร แล้วไปจัดการที่นั่น จึงจะแก้ไขระยะยาวได้
การแก้ข้างนอก ก็ทำเฉพาะหน้าไปก่อน แต่ก็ต้องทำด้วย เป็นเรื่องชะงักกระแสไว้ระยะสั้น แต่จะแก้ให้ได้ผลจริงๆ ต้องแก้ระยะยาว
เรื่องของชาวพุทธที่ขาดความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนี่แหละ ก็เลยเป็นช่องทางให้เกิดการอาศัยแอบแฝง เพื่อมาทำอะไรต่ออะไรที่ไม่ถูกต้องขึ้นมา แล้วก็โผล่ออกเป็นอาการฝีพุพองอย่างที่ว่า
เพราะฉะนั้นปัจจัยอย่างหนึ่งก็คือ ขาดความต่อเนื่อง หมายความว่างานพระศาสนาที่เป็นเนื้อหาสาระนั้นขาดตอนไป เช่น แม้แต่ประเพณีบวชเรียนก็เหลือแต่รูปแบบเสียมาก เมื่อประเพณีตัวแท้เดิมขาดตอนไป ความหมายก็เสียหมด แม้ว่าประเพณีจะยังอยู่ แต่เนื้อหาสาระไม่มี ความหมายมันหายไป
จะเห็นว่า ประเพณีต่างๆ ที่มีอยู่ปัจจุบันนี้ ค่อยๆ กลายความหมายและกลายรูปไป อย่างกฐินก็กลายเป็นกฐินทัศนาจร ทั้งๆ ที่ว่าประเพณียังสืบต่ออยู่ ในแง่หนึ่งก็แสดงว่าสังคมไทยดี ที่ประเพณียังอยู่ได้ แต่ความหมายชักจะหมด ต่อไปสาระก็จะไม่เหลือ
เราควรจะรู้ว่า ทัศนาจรนั้นมีได้ แต่ต้องเป็นส่วนประกอบ แต่เดี๋ยวนี้มันกลายเป็นว่า จัดกฐินเพื่อมุ่งไปทัศนาจร แล้วก็กฐินหาเงิน หาผลประโยชน์ ทำนั่นทำนี่ ไปๆ มาๆ ตัวสาระก็หาย
สาระทางนามธรรมก็เริ่มที่ความสามัคคี การที่ชาวบ้านหรือชาวจังหวัดนี้ นำกฐินไปทอดให้จังหวัดนั้น ก็เป็นการผูกไมตรี ส่วนทางโน้นก็มาแสดงน้ำใจทางนี้บ้าง เป็นความสามัคคีระหว่างพุทธศาสนิกชน และระหว่างพระกับชาวบ้าน ที่พูดอย่างนี้เป็นตัวอย่างเท่านั้น
ประเพณีที่สืบมาถึงปัจจุบันนี้ บางทีบางอย่างแทบจะเหลือแต่ซากแล้ว เพราะเนื้อไม่มี สาระและความหมายมันหมดไป ฉะนั้นก็ยิ่งเป็นช่องโหว่ให้เกิดปัญหาซ้อนขึ้นมาอีก
เหมือนกับขวด เมื่อเนื้อข้างในหายไป แต่ขวดยังอยู่ ท่านเอาขวดไปใส่เหล้าเสียนี่ ขวดของเดิมนั้นใส่ของดีอยู่ แล้วทีนี้เนื้อในมันหายไป เขาก็เลยนำขวดนั้นไปใส่ของไม่ดี ถึงตอนนี้รูปแบบก็อันเดิม แต่เนื้อไม่ใช่ และอาจจะกลายเป็นของเสียไปแล้วก็ได้
เรื่องนี้เราต้องยอมรับความจริงแล้วค่อยๆ แก้กันไป บางทีมันเป็นอาการที่ยังจัดลงตัวไม่ได้ เพราะฉะนั้นเราก็ให้โอกาส อย่างเวลานี้ที่มีองค์กรชาวพุทธกลุ่มต่างๆ ขึ้นมา ชาวบ้านก็ไม่มีศักยภาพที่จะทันกับสถานการณ์ ไม่มีกำลังเช่นความรู้ความเข้าใจที่จะมาตัดสิน หรือที่จะมาเรียกร้องเอากับองค์กรพวกนี้ แต่กลับเป็นเหยื่อถูกชักจูงไปด้วยซ้ำ
ถ้าชาวบ้านยังเป็นพุทธบริษัทที่มั่นคง ยังอยู่ในวิถีชาวพุทธจริงๆ เขาก็รู้เข้าใจรู้เท่าทันหมด เวลาเกิดองค์กรหรือจะเรียกว่ากลุ่มอะไรก็แล้วแต่ ถ้าทำการไม่ถูกต้อง ชาวบ้านก็ไม่สนับสนุนเลยหรือบีบเลย มันก็อยู่ไม่ได้
แต่ตอนนี้ทุนในทางมวลชนไม่มี มวลชนชาวพุทธเหมือนเป็นอัมพาต ไม่มีกำลัง ไม่มีความสามารถอะไรที่จะมาช่วยกันดูแล แม้แต่จะดูออกว่าอะไรเป็นอะไร อะไรเป็นพุทธไม่เป็นพุทธก็ยังไม่ได้ เพราะฉะนั้นระบบควบคุมก็เสียไปหมด ใครจะมาอ้างว่าอะไรเป็นพุทธ ก็ตั้งองค์กรขึ้นมา ต่อไปก็อาจจะมีองค์กรหวยพุทธเลยได้ไหม ถ้าองค์กรหวยพุทธเกิดมีขึ้นมาจะว่าอย่างไร ชาวพุทธไม่รู้เรื่อง ใครไปสนองความต้องการของแกอาจจะเอาก็ได้นะ
เพราะฉะนั้น ในระยะยาวต้องค่อยๆ แก้ แต่รวมความก็คือเราต้องดูด้วยความรู้เท่าทัน ว่าอ๋อมันเป็นอย่างนี้ สภาพสังคมเป็นไปตามเหตุปัจจัยที่สะสมมา อันนี้คืออาการแสดงออก
แต่เมื่อมองในแง่ดี มันก็เป็นโอกาสให้ตะล่อม เพราะมันโผล่ขึ้นมาแล้ว เมื่อมันโผล่ขึ้นมาแล้วเป็นองค์กรนี้ กลุ่มนี้ เป็นอย่างไร เราศึกษาเลย ว่ามีกลุ่มที่แสดงภาวะอาการของโรคอะไรบ้าง แล้วก็ค่อยๆ ตะล่อมเข้าสู่การแก้ไข
อีกสิ่งหนึ่งที่เราขาดก็คือ ผู้นำชาวพุทธ หมายถึงผู้นำที่เป็นแกน ที่พูดอะไรขึ้นมาคนก็ฟัง เชื่อ แล้วก็เห็นคุณค่า แล้วก็ทำให้หมู่ชนมีแนวทางที่จะพิจารณาตัดสินสิ่งต่างๆ
ความเป็นผู้นำตอนนี้เรายังน้อย ยังอ่อน เพราะฉะนั้นพร้อมกับการแก้ปัญหาต่างๆ ต้องสร้างผู้นำขึ้นมา ถ้าทำอันนี้ได้ พอถึงจุดหนึ่งองค์กรกลุ่มอะไรต่ออะไร จะค่อยๆ หายละลายไป
ก็มองไปในแง่ดีก็แล้วกัน ว่านี่คือ อาการของโรคที่เราจะได้มีโอกาสรู้ตัวโรค ถ้าอาการของโรคไม่ปรากฏ เราจะไม่สามารถไปสืบหาสมุฏฐานได้ ตอนนี้เราจะได้อาศัยอาการของโรค ไปสืบสาวตรวจดูให้รู้สมุฏฐาน เพื่อหาทางแก้ให้ถูก
พร้อมกันนั้นก็พัฒนาในเชิงบวกไปด้วย คือ สร้างความเป็นผู้นำชาวพุทธที่แท้ขึ้นมา เมื่อความรู้ที่เป็นปัญญามันมี อะไรๆ ก็ค่อยๆ มา ถ้าเขาเชื่อถือแล้ว ปัญญากับศรัทธามาบรรจบกันเมื่อไร พระพุทธศาสนาก็เกิดขึ้น
ตอนนี้มีศรัทธาแต่ไม่มีปัญญา ศรัทธายังมี ก็ยังดีนะ ถ้าไม่มีศรัทธาเหลือซิแย่ ตอนนี้ศรัทธายังอยู่ เรายังมีแง่ดีอยู่ ทุนเดิมยังเหลืออยู่ เมื่อศรัทธายังอยู่ ก็ต้องเดินหน้าว่า ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาด้านปัญญาขึ้นมา พอปัญญากับศรัทธามาบรรจบกันปั๊บ พุทธศาสนาเด่นเลย
เพราะฉะนั้นอย่าเพิ่งท้อใจ อาศัยศรัทธาที่มี แม้มันจะไม่ค่อยถูก ก็เอามาใช้ให้เป็นประโยชน์ แต่ต้องดึงเข้ามาสู่ทางด้วยปัญญา
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กราบขอบพระคุณครับ ก็เป็นเรื่องที่กระผมเองคงจะต้องไปรับเรื่องนี้ เพราะว่า พอเขามองว่าผมไม่ไปเป็นพวกเขา เขาก็คงจะเพ่งจะจ้องมอง คือกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่กระผมไม่สามารถจะเข้าไปร่วมได้ เนื่องจากเขาไม่ปฏิบัติไม่ดำเนินการในหลักของพระพุทธศาสนา
แต่ในขณะเดียวกัน กระผมเองก็มีประสบการณ์เรื่องนี้ในขณะที่เป็นผู้บัญชาการศึกษา คือ ในที่ที่ไม่ปฏิบัติตามหลักของพระพุทธศาสนา กระผมก็ต้องถอนออกมา ตอนนั้นก็คงไม่มีปัญหาอะไร
แต่ต่อไปนี้อาจจะเกิดปัญหาขึ้น เพราะถ้ามีการถือเป็นพวกเป็นฝ่ายขึ้นมา อันนี้ก็คงจะลำบาก กระผมก็คงจะรับเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ ในแง่ที่ว่าถ้าไม่ใช่หลักในพระพุทธศาสนา แล้วไปทำให้เกิดการเบี่ยงเบนขึ้นมา
อย่างที่ได้เมตตาเคยแนะนำสั่งสอนไว้ว่า ยิ่งเอาพุทธศาสนิกชนไปเข้าเรื่องเหล่านั้นมากเท่าไร ยิ่งเสียหายมากเท่านั้น จะไปเอาเรื่องศีลธรรมอย่างเดียว มันไม่ได้ ฉะนั้นกระผมก็ยังยืนยันอยู่เหมือนเดิมนะครับ
ทีนี้กระผมก็มีปัญหาขึ้นมา ยกตัวอย่างเช่น อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา มันมีศาสนาอะไรก็ไม่ทราบครับ เขาเรียกว่า นาจา องค์เทพนาจา อยู่ที่ทางไปอำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา เขาเรียกว่าน้ำน้อย
สร้างพระพุทธรูปขึ้นมา สร้างหลวงพ่อทวด สร้างเจ้าแม่กวนอิม สร้างอะไรต่ออะไรริมถนนใหญ่เลย แล้ววันหนึ่งก็ปรากฎว่าไปฉ้อโกงประชาชน เพราะไปพูดถึงเรื่องเหล็กไหล ไปโกหกชาวบ้านเขา
ก็กลายเป็นว่า ทางฝ่ายตำรวจก็ไม่รู้เรื่อง ก็ว่านี่เรื่องนี้ทำไมไม่เอาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกับด้านพระพุทธศาสนาเข้ามาดำเนินการ จริงๆ มันเกี่ยวกับพระพุทธศาสนาที่ไหน เป็นอะไรไม่ทราบ คนไม่เข้าใจ ข้าราชการไม่เข้าใจ ซึ่งตรงนี้ก็ไม่เป็นไร เราจะต้องทำความเข้าใจกันต่อไป
กระผมอยากจะกราบนมัสการถามที่เกี่ยวเนื่องในกรณีนี้ ก็คือว่า กรณีที่ศาสนาอื่นนำเอาศาสนพิธีในทางพระพุทธศาสนาไปใช้น่ะครับ จะเกิดเป็นปัญหาแก่พระพุทธศาสนาหรือไม่ ถ้าเกิด จะแก้ไขอย่างไร อันนี้ขอกราบนมัสการถาม
พระธรรมปิฎก: ต้องดูความมุ่งหมายก่อน การที่เขาเอาไปทำอย่างนั้น อันนี้เป็นนโยบายระยะยาวเลย ก็คือ นโยบายครอบ
หมายความว่า จะให้เป็นเสมือนว่าพระพุทธศาสนาเป็นส่วนหนึ่งของศาสนานั้น อันนี้เป็นนโยบายใหญ่จากศูนย์กลางเลยทีเดียว เพราะฉะนั้นเขาก็จะมาเอาทุกด้าน ไม่เฉพาะพิธีกรรมที่เป็นรูปธรรมหรอก แม้แต่คำสอนที่เป็นนามธรรมก็จะครอบด้วย
ดูเผินๆ เหมือนว่าเขามายอมรับ แต่ที่จริงเขาเตรียมวางฐานะไว้ให้เสร็จแล้ว อย่างที่พูดเมื่อสักครู่ว่าครอบ แต่ทั้งครอบและกลืน คือให้พุทธศาสนาไปเป็นส่วนหนึ่ง แต่ไม่ใช่ส่วนสูงสุด เป็นเพียงส่วนขั้นบันได อยู่ในศาสนานั้น
เพราะฉะนั้นเขาก็จัดดำเนินการในรูปต่างๆ ในแง่คำสอนก็มีการตั้งทฤษฎี ให้มองคำสอนของพุทธศาสนาอย่างนี้ๆ แล้วในแง่ของพิธีกรรมซึ่งจะเป็นสื่อสำคัญ เพราะพิธีกรรมนี่เข้าถึงประชาชน จึงให้เอาพิธีกรรมไปเป็นส่วนหนึ่งที่จะเข้าถึง เพื่อจะให้กลมกลืนกันแล้วก็ครอบได้อีกที
แต่การที่จะครอบได้จริงนั้น ต้องครอบด้วยหลัก คือตัวคำสอนที่เป็นนามธรรม เพราะเป็นตัวแก่น แล้วไปครอบที่เนื้อตัวข้างใน จะครอบแต่เพียงภายนอกไม่ได้ ด้านภายนอกต้องกลมกลืน นี่เป็นเรื่องที่เราต้องรู้เท่าทัน
โดยเฉพาะในระดับผู้นำของเรา จะเป็นฝ่ายพระก็ตาม ฝ่ายคฤหัสถ์ก็ตาม นอกจากรู้เท่าทันแล้ว ต้องมีแนวคิด แนวปฏิบัติ ซึ่งอันนี้จะสำเร็จได้ด้วยมีการปฏิบัติตามหลักอปริหานิยธรรม เช่น การได้มาประชุมพบปะกัน แลกเปลี่ยนเพิ่มข้อมูลข่าวสาร ได้มาสื่อสารกัน ให้รู้ว่าตอนนี้เขาทำอะไรไป เมื่อรู้ทันแล้วจะวางวิธีรับมืออย่างไร
การทำที่เขาใช้วิธีกลมกลืนอย่างนี้ ถ้าไม่รู้ทันจะไม่ทำให้รู้สึกกระทบกระเทือน แต่จะทำให้รู้สึกว่า เหมือนให้เกียรติแก่พระพุทธศาสนามาก หรือยอมรับพระพุทธศาสนา
เราก็ต้องมีนโยบายของเราเอง คือการตั้งนโยบายขึ้นรับนโยบาย เพราะทางโน้นมีนโยบายอยู่แล้ว เราก็ต้องมีนโยบายของเรา ว่าเราจะรับมืออย่างไรนั่นเอง
อันนี้ก็เป็นเรื่องใหญ่ เพราะในประเทศอินเดียแห่งชมพูทวีป พุทธศาสนาก็สูญสิ้นไปเพราะนโยบายแบบนี้ด้วย คือนโยบายกลืน เริ่มแต่นโยบายนารายณ์อวตาร แต่ไม่ใช่นารายณ์อวตารอย่างเดียว ศิวะก็อวตารด้วย นารายณ์อวตารเป็นเรื่องมาในวิษณุปุราณะ ว่านารายณ์อวตารเป็นพระพุทธเจ้า
ชาวพุทธมากมายเดี๋ยวนี้ก็ยังหลง คนไทยจำนวนไม่น้อย นึกว่าศาสนาฮินดูให้เกียรติ นึกว่าการที่เขาให้พระพุทธเจ้าเป็นพระนารายณ์นี่แสดงว่าเขานับถือ นี่แหละไม่ศึกษา
เรื่องนารายณ์อวตารนั้น ตามหลักจริงๆ ของเขาเรียกพระพุทธเจ้าว่าเป็นปางมายาโมหะ นี่คือตัวแท้ ที่ว่าเป็นพุทธาวตารนั้น ที่แท้เรียกว่า ปางมายาโมหะ ซึ่งเป็นเรื่องอยู่ในวิษณุปุราณะ
เขาสร้างเรื่องว่า พวกอสูรมีกำลังขึ้นมาสู้เทวดาได้ ทำให้เทวดาอยู่ในฐานะลำบาก เทวดาไปปราบอสูรบางทีก็รบแพ้ ทำไมอสูรมีกำลัง เพราะอสูรไปบูชายัญ เป็นต้น เมื่อบูชายัญแล้ว อานิสงส์บูชายัญตามหลักศาสนาฮินดูทำให้มีอำนาจยิ่งใหญ่มาก
เมื่ออสูรมีกำลัง เทวดาปราบไม่ไหว เทวดาก็มาร้องทุกข์ต่อพระนารายณ์ ว่าจะทำอย่างไร พระนารายณ์ก็อวตารลงมาเป็นปางมายาโมหะ เรียกว่าเป็นพระพุทธเจ้านี่แหละ เพื่ออะไร เพื่อจะมาหลอกพวกอสูรให้เลิกบูชายัญ เป็นต้น
เมื่อพวกอสูรไม่บูชายัญ ต่อไปพวกอสูรก็จะไม่ได้รับอานิสงส์ของการบูชายัญ ก็จะหมดฤทธิ์หมดอำนาจ แล้วเมื่ออสูรหมดกำลังแล้ว สุดท้ายเทวดาก็จะปราบอีกที แต่ตอนนี้ก็ส่งพระพุทธเจ้ามาทำอสูรให้อ่อนแอก่อน เพราะฉะนั้นเขาจึงให้ฮินดูมองชาวพุทธว่าคืออสูร คนไหนไปนับถือพุทธก็คืออสูรนั่นเอง เพราะว่าเลิกบูชายัญ
นี่เห็นไหม เขาสร้างเรื่องให้กลมกลืนกับหลักคำสอนของเขา ที่จริงเขาไม่ได้ให้เกียรติเลย แต่เขาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นนักหลอกลวงที่เก่งมาก หมายความว่ามาหลอกชาวบ้าน มาหลอกคนทั้งหลาย ให้เลิกนับถือพระเวท เลิกบูชายัญ เพื่อให้พวกที่เป็นอสูรเหล่านี้เสื่อมลงไป ฉะนั้นพวกพุทธนี่เป็นพวกอสูร แล้วต่อไปจะต้องเสื่อม นี่คือความหมายที่แท้ของนารายณ์อวตาร
แล้วต่อมาทางฮินดูฝ่ายนิกายไศวะ คือ ลัทธิที่นับถือพระศิวะ เขาก็มีพระอิศวรอวตารเหมือนกัน แต่เรื่องอิศวรอวตารนี้ กลายเป็นว่า พวกเทวดาไปร้องทุกข์ต่อพระศิวะคือพระอิศวรว่า ในชมพูทวีปเวลานี้เทวดาลำบากมาก ไม่ได้รับการบำรุง พูดง่ายๆ ก็คือไม่มีเครื่องเซ่น เพราะว่าคนเลิกบูชายัญ เนื่องจากพระพุทธศาสนามาสอนทำให้คนเลิกบูชายัญ เพราะฉะนั้นจะต้องปราบพุทธศาสนาลงไป
นี่แนวของศิวะ ไม่เหมือนแนววิษณุ พระศิวะก็เลยอวตารลงมาเป็นศังกราจารย์ เพื่อปราบพุทธศาสนา แล้วจะดึงคนกลับไปสู่ระบบการบูชายัญเป็นต้น อีกครั้งหนึ่ง
ฮินดูพยายามมาตลอด ทีนี้ นิกายไศวะก็จะกลืนบ้าง อย่างที่ศังกราจารย์ตั้งคณะสงฆ์เลียนแบบพุทธศาสนา แต่ก่อนนี้ศาสนาฮินดูไม่มีคณะสงฆ์ เพราะพราหมณ์ที่คนว่าเป็นนักบวชนั้น เขาทำพิธีศาสนา ทั้งที่ตัวเขาอยู่บ้าน มีเหย้าเรือนครอบครองโภคสมบัติ แต่ศังกราจารย์ตั้งวัดที่เขาเรียก math ขึ้นมา ภาษาบาลีเรียกว่า “มฐ (มฐะ)” เริ่มจากสี่ทิศ ก็เกิดคณะสงฆ์ฮินดูขึ้นมาบ้าง มาเทียบกับสังฆะในพระพุทธศาสนา นี่ก็คือวิธีทำให้เหมือนกัน เป็นการกลมกลืนกันไป
ตอนนั้นพุทธศาสนาเจริญอยู่ในเมือง แต่นอกเมืองขาดกำลัง เพราะพระมาสุมกันอยู่ในเมือง ในที่เจริญหมด พอวัดไหนไม่มีพระเพียงพอ วัดฮินดูก็ไปร่วมมือ ไปช่วยเหลือ ต่อมาก็ยึดวัดกลืนไปเลย อะไรทำนองนี้
หันมาพูดถึงศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก เมื่อ พ.อ.ปิ่น มุทุกันต์ ยังเป็นอธิบดีกรมการศาสนา ตอนนั้นถึงกับมีวัดของศาสนาคริสต์วัดหนึ่ง ที่บาทหลวงโกนศีรษะห่มเหลืองอย่างพระเลย คือจะกลืนกันขนาดที่ว่า เอารูปแบบแม้แต่การเป็นพระไป อันนี้เป็นเรื่องที่ต้องรู้ทัน จึงบอกว่าต้องมีปัญญา เราไม่มีเจตนาร้าย เรามีไมตรีปรารถนาดี แต่เราต้องรู้เข้าใจ
รวมความว่าเป็นเรื่องที่ต้องรู้ และมีนโยบายที่จะรับมือให้ถูกต้อง อย่างน้อยการรู้เท่าทันเป็นเรื่องสำคัญ แล้วอีกอย่างหนึ่ง เรื่ององค์กร และกลุ่มอะไรต่ออะไรที่ทำแปลกๆ นี่ เราต้องมอง ๒ แบบ
หนึ่ง พวกทำด้วยเจตนาร้าย
สอง พวกมีเจตนาดีอยู่เหมือนกัน แต่เขาไม่รู้ เขาจึงทำไม่ถูก
สำหรับพวกมีเจตนาร้ายเราก็ต้องปฏิบัติแบบหนึ่ง พวกเจตนาดีแต่ไม่รู้ เราก็ต้องเข้าใจเขา และเห็นใจ แล้วก็ตะล่อมว่าจะทำอย่างไร จึงจะดึงเข้ามาสู่แนวทางที่ถูกต้อง การที่จะไปกำจัดกันโดยใช้วิธีรุนแรงเลยทีเดียว ก็ไม่ถูก
ก็อย่างที่ว่านั้น ที่ว่าไม่ดีนี่มี ๒ แบบ มีทั้งเจตนาดีและเจตนาไม่ดี พวกเจตนาไม่ดีก็เรื่องหนึ่ง พวกเจตนาดีแต่ไม่รู้ ก็เรื่องหนึ่ง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ก็กราบนมัสการขอบพระคุณเป็นอย่างสูงเลยนะครับ คงยังมีปัญหาอีกมากมาย เพราะว่าการเข้าไปคราวนี้ คงจะมีปัญหาหมักหมมมานานพอสมควร และจากประสบการณ์ของกระผมเอง กระผมก็พบว่า เรื่องของคนกับเรื่องของระบบ ในทางปฏิบัติจริงๆ คนนี่สำคัญ จะทำอย่างไรที่จะให้เราสร้างคนขึ้นมาได้
ก็อย่างที่กระผมกราบนมัสการไว้แล้วว่า ก็จะต้องเอาอย่างลักษณะของการคัดสรรมา ซึ่งกระผมก็ได้กราบนมัสการ ไม่ทราบว่าท่านเจ้าคุณอาจารย์จะเห็นด้วยในประเด็นนี้หรือเปล่า
พระธรรมปิฎก: คัดสรรอย่างไรนะ เจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: คัดสรรนี่กระผมขอยกตัวอย่าง เช่นผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท. (องค์การสื่อสารมวลชนแห่งประเทศไทย) ผู้อำนวยการ อ.ส.ม.ท.ในสมัยก่อนนั้นเขาแต่งตั้งมาจากราชการ แต่ในขณะนี้เขามีการคัดเลือก ถ้าไม่มีประสิทธิภาพพอ ทำให้บริษัทเขาแย่ เขาจะเอาออก
ทีนี้ลักษณะนี้ถ้าหากมีการคัดสรร ก็หมายความว่า มีคฤหัสถ์จำนวนหนึ่ง มีบรรพชิตจำนวนหนึ่งมาพิจารณา แต่อย่างที่ท่าน ดร.วิษณุ เครืองาม ได้บอกไว้เมื่อปีที่แล้วว่า คณะกรรมการนี้จะมาหาตัว ผอ. นั้นมีลักษณะในเชิงของการแต่งตั้ง
แต่ถ้ามีการคัดสรรนี่ หมายความว่าเลือกเลย และคณะกรรมการนี้ก็จะพิจารณาตามดูการเคลื่อนไหว การทำงานของตัวผู้อำนวยการสำนักพระพุทธศาสนาแห่งชาติตลอดเวลา ถ้าดีก็ปกป้อง ถ้าไม่ดีก็ตักเตือน ตักเตือนแก้ไม่ไหวแล้ว ก็ต้องถอดถอนออกไป อาจจะอยู่ในวาระ ๒ ปี ๓ ปี ก็แล้วแต่
อยากจะกราบนมัสการถามว่า ในประเด็นนี้ ในสถานการณ์ปัจจุบันเหมาะสมหรือเปล่าครับผม
พระธรรมปิฎก: การคัดสรรใช่ไหม ขอเจริญพร เป็นวิธีการใหม่ที่ค่อนข้างแพร่ขยายมากขึ้น นิยมใช้กันมากขึ้น แง่ดีก็มี แต่ทำอย่างไรจะให้มันดีจริงๆ คือ ต้องวางระบบให้ดีนั่นเอง เพราะถ้าตัวหลักการดี แต่ถ้าวิธีจัดการไม่ดี หลักการนั้นก็ไม่สัมฤทธิผล
เพราะฉะนั้น ตอนนี้หลักการก็ดีอยู่ แต่วิธีการโดยเฉพาะที่จัดวางเป็นระบบนี่ มันไม่ใช่แค่วิธี แต่เป็นระบบวิธี และระบบวิธีนี่ต้องมีความรัดกุม เป็นต้นว่า แค่ไหนจึงจะให้ความมั่นใจ โดยมีองค์ประกอบหรือปัจจัยที่จะเป็นตัวประกัน ให้เกิดผลที่ดีได้แน่นอน
ตัวระบบที่จะเป็นหลักประกัน ต้องทำให้มั่นคง ถ้าระบบไม่เป็นหลักที่มั่นคง ไม่เป็นประกัน มีช่องโหว่มาก ก็เกิดปัญหา แม้ตัวหลักการจะดีก็มาเสียอีก ที่ระบบวิธี
ฉะนั้น การคัดสรรเราก็พูดได้ว่าโดยหลักการดี แต่วิธีการต้องทำให้รัดกุม วางระบบให้ชัด จนกระทั่งคนเห็นระบบวิธีแล้ว ก็มั่นใจเลย ว่ามันเป็นหลักประกันว่าจะได้คนที่เหมาะสม
ตรงนี้ยากเหมือนกันนะ เมื่อวางระบบวิธีแล้ว จะมีตัวแทรกแซงอะไรเข้ามาอีกหรือเปล่า คือระบบนี้ จะต้องป้องกันตัวแทรกแซงได้ด้วย
ตรงนี้ยาก คือจะต้องมีระบบที่สามารถป้องกันตัวแทรกแซงและปัจจัยในฝ่ายเสียไม่ให้เข้ามา อันนี้ก็คงตอบได้แบบมีเงื่อนไข คือไม่สามารถจะตอบได้แบบผางลงไปเลย อันนี้คิดว่าอยู่ที่การวางระบบวิธี
ก็เลยอยากจะพูดอีกนิดเป็นการพูดรวม เพราะเมื่อสักครู่นี้ได้พูดถึงวัฒนธรรมด้วย ว่าถ้าเราจะนำประเทศชาติไปให้ดี ผู้ที่ทำงานจะต้องมองเห็นองค์ประกอบทุกส่วนของสังคม ว่ามันเชื่อมโยงสัมพันธ์เป็นเหตุปัจจัยแก่กันอย่างไร แล้วมันรวมเป็นหนึ่งเดียวได้อย่างไร ถ้ายังมองไม่ได้ ยังมองแยกส่วนอยู่ ก็ไปดีไม่ได้
เพราะฉะนั้น ท่านที่พูดอย่างเมื่อสักครู่ว่าวัฒนธรรมเป็นเรื่องต่างหากจากพระศาสนา ก็คือ ท่านไม่เข้าใจวัฒนธรรม ว่ามันเป็นองค์ประกอบที่สัมพันธ์กับส่วนอื่นของสังคมไทยนี้อย่างไร ทั้งในเชิงราบและเชิงตั้ง
เชิงราบ ก็คือ สภาพที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน เชิงตั้ง ก็คือ ตามแนวประวัติศาสตร์ ความเป็นมาในอดีตสืบสายกันมาอย่างไร ต้องเข้าใจให้ตลอด
ถ้ามิฉะนั้นก็จะทำงานโด่เด่ เคว้งคว้าง ขาดลอยไปหมด ต้องสานได้ ต้องโยงได้ ต้องเชื่อมเหตุปัจจัยได้ ทั้งปัจจัยฝ่ายบวก ฝ่ายลบ ฝ่ายกระทบ แล้วก็ฝ่ายเสริมหนุน ตรงนี้เป็นจุดสำคัญ
งานของพระศาสนาก็เช่นเดียวกัน ตอนนี้ก็คือกลับไปสู่ข้อแรกที่บอกว่า มองพระศาสนาทั้งหมด ให้มีจุดรวมอันเดียว แล้วให้เห็นว่า มันกระจายออกไปเป็นองค์ประกอบต่างๆ ที่มาสัมพันธ์กันอย่างไร เพื่อไปสู่จุดหมายอันเดียวกัน แล้วจะโยงกันอย่างไร เพราะจะทำงานอะไรก็ตาม ทุกส่วนนั้นจะต้องโยงกลับเข้ามาหาแกนนี้ได้ แล้วก็นำไปสู่จุดหมายที่แท้จริง
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมขอกราบนมัสการถามเป็นการส่วนตัวสักนิดหนึ่งว่า ในฐานะที่ผู้อำนวยการสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ต้องไปเป็นเลขาธิการของมหาเถรสมาคม ตรงจุดนี้กระผมขอรับโอวาท มีข้อแนะนำสั่งสอนประการใด ช่วยกระผมด้วย เพราะว่ากระผมไม่เคยมีประสบการณ์ ควรจะดำเนินการในลักษณะใด จึงจะถูกต้องเหมาะสม
พระธรรมปิฎก: ขอเจริญพร อันนี้อาตมภาพคิดว่าก็คงจะเป็นระบบงานแบบอิงอาศัยเอื้อกันไป เพราะว่าท่านนายพลก็ถนัดงานที่รู้ทางด้านองค์ประกอบทางสังคมมาเยอะ ส่วนทางด้านเนื้อหาสาระทางปริยัติเป็นต้น และทางด้านความสัมพันธ์กับพระสงฆ์ เรื่องความรู้ความเข้าใจประเพณีความเป็นอยู่วัตรปฏิบัตรของพระ ก็จะมีท่านที่ชำนาญอยู่แล้ว
ก็ต้องประสานกันตรงนี้แหละ เพราะว่าตอนที่สัมพันธ์กับมหาเถรสมาคมนั้นจะมีเรื่องในแง่นี้มาก เพราะว่าท่านเป็นพระสงฆ์ ซึ่งมีวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของท่านแบบหนึ่ง มีเรื่องราวเกี่ยวข้องที่เป็นแบบของท่านโดยเฉพาะ คราวนี้คนที่เจริญเติบโตมาแบบนั้น ก็จะมาหนุนได้ คือเป็นการทำงานที่คงต้องประสานไปด้วยกัน โดยมีท่านที่ชำนาญด้านนั้นเข้ามา ก็อยู่ที่จุดเชื่อมว่า จะเอามาเป็นองค์ประกอบร่วมได้อย่างไร เพื่อจะมาทำงานไปด้วยกัน ขอเจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมเข้าไปคราวนี้ กระผมก็ได้แสดงบอกทางสื่อมวลชนที่มาซักถามอย่างชัดเจนว่า กระผมมิได้เข้ามาในฐานะผู้บังคับบัญชา แต่กระผมเข้ามาในฐานะของเพื่อนร่วมงานจริงๆ ด้วยความจริงใจ
ก็มีกระแสออกมาว่า มีความแตกแยกกันอย่างนั้นอย่างนี้ กระผมก็ตอบไปว่า เรื่องความแตกแยกในบ้านเมืองของเรา ตราบใดที่เป็นปุถุชนนั้นมีทุกแห่ง ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ทหาร พลเรือน ทุกแห่งมีเหมือนกัน แต่ถ้าหากว่าพวกเรายึดโยงกันให้ชัดเจนในเรื่องความจริงใจที่จะทำงานต่อบ้านเมือง ยึดประโยชน์ของส่วนรวมเป็นหลักสำคัญแล้ว กระผมมั่นใจว่าเอกภาพต้องเกิดขึ้น เหตุการณ์ทุกประการน่าจะเรียบร้อยและมีความเข้าใจต่อกันได้ กระผมขอคำแนะนำในประเด็นดังกล่าวนี้ด้วยครับ
พระธรรมปิฎก: เจริญพร ก็คงต้องใช้ความแตกต่างเป็นส่วนเติมเต็ม หมายความว่า ความแตกต่างเป็นธรรมชาติ และเพราะความแตกต่างนี่แหละ จึงทำให้สิ่งทั้งหลายมีความหลากหลาย โลกนี้เป็นอยู่ได้เพราะความแตกต่าง ถ้ามีอยู่อย่างเดียวแม้แต่ร่างกายของเรา ก็มีแต่ตายอย่างเดียว ไปไม่รอด เครื่องยนต์ก็มีส่วนที่แตกต่างแล้วมาเติมเต็มกัน ทำให้องค์รวมสมบูรณ์ขึ้นมา
อันนี้ก็อยู่ที่จะใช้ความแตกต่างนั้นอย่างไร อยู่ที่การประสานเชื่อมโยงเข้ามาเป็นระบบ ให้เป็นหน่วยรวมอันเดียวกัน แล้วก็หาช่องทางให้มันมาหนุนซึ่งกันและกัน ให้เป็นปัจจัยร่วมและเป็นปัจจัยหนุน ไม่ใช่เป็นปัจจัยที่มาหักล้างกัน
เหมือนอย่าง ในเรื่องที่ต้องสัมพันธ์กับคณะสงฆ์ ตรงนี้จะต้องเป็นจุดที่เด่น คือการเข้าได้กับพระ เช่น กรรมการมหาเถรสมาคม
การรู้วิถีชีวิตของท่าน รู้วัตรปฏิบัติแนวทางอะไรต่างๆ ซึ่งผู้ที่ชำนาญในด้านนี้ ก็จะมีแน่นอนในสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ คงจะต้องใช้หรืออาศัยท่านเหล่านั้น มาเป็นส่วนร่วมหรือมาเป็นองค์ประกอบที่เสริมซึ่งกันและกัน แล้วก็รู้กัน เข้าใจกัน มาทำงานแบบไปด้วยกัน ขอเจริญพร
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ขอกราบนมัสการถาม พุทธมณฑลที่อยู่ใกล้นี้นะครับ ท่านเจ้าคุณอาจารย์มีคำแนะนำอะไรบ้าง ที่จะให้กระผมรับไปปฏิบัติในโอกาสต่อไป ในการที่จะเสริมให้เป็นไปตามเป้าหมายที่จะได้จัดตั้งที่พุทธมณฑลต่อไป
พระธรรมปิฎก: เรื่องพุทธมณฑล อาตมภาพไม่ได้มีความคิดอะไรมากหรอก มองในแง่ที่หนึ่ง ก็เป็นที่ร่มรื่น ซึ่งเข้ากับหลักพระศาสนา เพราะว่าพระพุทธศาสนาเราเน้นเรื่องธรรมชาติ เรื่องของความร่มรื่น ให้มีสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติอย่างที่ว่า
ฉะนั้นพุทธมณฑลในแง่นี้ก็เข้าแนวทาง แต่ในแง่ของประโยชน์อย่างอื่น อย่างที่บางทีเอกสารของทางราชการออกมา คล้ายๆ ทำนองว่า จะให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ตรงนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดให้ชัด
ที่ผ่านมาเราคิดในแนวนี้จริงหรือเปล่า หรือเป็นเพียงพูดไว้เฉยๆ ว่า ตั้งพุทธมณฑลขึ้นเพื่อให้เป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา แล้วเราได้ดำเนินการเพื่อให้เป็นอย่างนั้นหรือเปล่า อันนี้ก็ต้องอยู่ที่ว่า จะมีนโยบายในเรื่องนี้อย่างไร จะยึดถือหลักที่เคยประกาศไว้หรือไม่
ถ้าเราตกลงจะให้พุทธมณฑลเป็นศูนย์กลางของพระพุทธศาสนา ก็เป็นจุดเริ่มที่จะต้องไปคิดว่า เราจะทำอย่างไรให้เกิดสภาวะเช่นนี้ขึ้นมาได้
อันนี้เป็นสิ่งที่เคยพูดกันไว้เท่านั้นเอง ซึ่งถ้าเราไม่เห็นด้วย เราก็อาจจะไม่เอาด้วย และกลายเป็นว่าที่พูดมาก่อนนี้เป็นเพียงถ้อยคำไพเราะ แต่ไม่มีผลในทางความเป็นจริง แทนที่จะไปพูดอย่างนั้น ก็ต้องเลิกพูด
ทีนี้ถ้าตกลงเอาว่า เราจะวางนโยบายอย่างนี้สำหรับพุทธมณฑล ที่ว่าจะให้เป็นศูนย์กลางของกิจการพระพุทธศาสนา ก็เป็นเรื่องที่เชื่อมโยงกับเรื่องอื่นที่เคยพูดกันมา
แต่ลักษณะที่แน่นอนก็คือว่า ตัวสถานที่มันได้อยู่แล้ว เป็นที่ช่วยประชาชนมาก ได้แก่ความร่มรื่น ประชาชนมาอาศัยพุทธมณฑลกันเยอะ เพื่อช่วยจิตใจให้มีความสบายมีความสงบ อันนี้เราก็คงจะต้องส่งเสริมกันต่อไป
ในส่วนอื่นก็เคยพูดกันไปถึงว่า ในการเป็นศูนย์กลางทางพระพุทธศาสนานั้น มีจุดหนึ่งที่เน้นคือ เป็นศูนย์กลางหรือเป็นแหล่งสำคัญทางการศึกษาด้วย อันนี้ก็ต้องมาทบทวนว่าเราจะเอาหรือเปล่า เพราะในแง่นี้ได้เกิดมีปัญหากันมาหลายอย่าง เช่นว่าเมื่อตอนที่ตั้งมหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งโลกขึ้น ก็พูดกันว่าจะเอาอย่างไร จะตั้งที่พุทธมณฑลหรือไม่ ซึ่งก็ยังไม่มีข้อยุติที่ว่าจะเอาอย่างไร อันนี้เป็นเรื่องของนโยบาย
เราอาจจะต้องยกเรื่องที่เคยพิจารณาในอดีตมาดู ว่าเขาเคยคิดกันอย่างไร จะเอาอย่างไร แล้วอันไหนควรจะสืบต่อ ควรจะทำขึ้นมาให้เป็นจริงเป็นจัง อันไหนควรจะเลิก อันนี้อาตมภาพคิดว่าสำคัญนะ คือเรื่องที่เป็นมาควรให้ชัดเสียก่อน
ทีนี้พอเราชัดกับเรื่องที่เป็นมา จนลงตัวตัดสินได้ว่าเอาหรือไม่เอาอย่างไรแล้ว เราก็เดินหน้าละทีนี้ แม้แต่จะมีนโยบายใหม่ ว่าถ้าไม่เอาอย่างนั้นแล้วจะให้เป็นอย่างไร
แต่ตอนนี้เหมือนกับว่า เรื่องพุทธมณฑลที่เป็นมาก็ยังไม่ชัด แม้แต่สิ่งที่พูดไว้เหมือนประกาศเป็นทางการก็พูดกันไปอย่างนั้นๆ เอง
ถ้าเป็นศูนย์กลางการศึกษา ก็หมายถึงเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนานานาชาติด้วย เพราะว่าถ้าโยงไปหามหาวิทยาลัยพุทธศาสนาแห่งโลก ก็หมายถึงระหว่างชาติแล้ว
ในแง่หนึ่งเราก็ยังมีความคิดกันอยู่ด้วยว่า ในเวลานี้ถึงอย่างไรประเทศไทยก็ยังเป็นประเทศที่เรียกว่า พระพุทธศาสนาเจริญมั่นคงที่สุด แม้ว่าบางครั้งมันจะเป็นความภูมิใจที่หลอกตัวเองไปบ้าง แต่ก็มีลักษณะอย่างน้อยในทางรูปธรรมที่เอื้อ
ทีนี้เมื่อมีลักษณะในทางรูปธรรมแล้วเราก็ต้องมาใส่เนื้อให้มันเป็นจริง คือทำอย่างไรให้รูปร่าง รูปแบบ ที่มันดูเป็นศูนย์กลางพระพุทธศาสนานั้น จะเป็นแหล่งใหญ่ศูนย์กลางจริงๆ โดยเนื้อหาด้วย นี้ก็คือต้องฟื้นตัวจริงของพระพุทธศาสนาขึ้นมา
อันนี้อาตมภาพก็ว่า เป็นงานใหญ่มาก ถ้าจะเอาพุทธมณฑลให้มาถึงขั้นนี้ แล้วมันจะเชื่อมโยงกับงานส่วนอื่นด้วย
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: ขอกราบนมัสการนะครับ ตอนนี้ก็มีประเด็นอยู่หลายประเด็น เช่นที่ตั้งของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ จะเอาอย่างไร จะอยู่ที่กรุงเทพฯ หรือจะอยู่ที่พุทธมณฑล
พุทธมณฑลนั้นไกล ญาติโยมมาติดต่อก็ลำบาก ก็คงต้องหาข้อยุติ เพราะเรื่องย้ายต้องย้ายแน่ แล้วขณะนี้กรมการศาสนาซึ่งเคยอยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ย้ายมาอยู่ที่สะพานพระปิ่นเกล้าฯ ชั้นห้าแล้ว
กรมการศาสนาเก่าอยู่ที่ในกระทรวงศึกษาธิการ ขณะนี้ตั้งแต่เมื่อปีที่แล้ว ก็มีการแยกตัวกรมการศาสนาออกมาเป็นสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ แบ่งเป็น ๒ ส่วน
กรมการศาสนาก็ขึ้นอยู่กับกระทรวงวัฒนธรรม ขณะนี้กรมการศาสนาเขาย้ายมาอยู่ตรงตึกมหาวิทยาลัยมหิดล สะพานพระปิ่นเกล้า ส่วนสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติก็อยู่ที่กระทรวงศึกษาธิการ ก็ไม่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ปัญหาคือจะย้ายไปอยู่ที่ใด ในกรุงเทพฯ หรือข้างนอก ก็ยังไม่มีข้อยุติที่ชัดเจน ก็ต้องไปหาข้อยุติกัน มีเสียงบอกว่า ที่พุทธมณฑลไกล แล้วปัญหาก็อย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวไว้ว่า ต้องให้ชัดเจน กระผมมองดูว่าจะชัดเจนอย่างไรก็แล้วแต่ สังคมไทยเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาตลอดเวลา
เว้นแต่ถ้าเราวางรากฐานเกี่ยวกับตัวบุคคลให้มีมาตรฐานจริงๆ โดยมีคณะกรรมการการคัดสรรในหลักการให้ถูกต้องชัดเจนจริงๆ อันนี้ก็จะนำไปสู่ลักษณะของการพัฒนา
มีประเด็นอยู่ประเด็นหนึ่ง มีเสียงพูดกันมากก่อนหน้านี้ว่า ควรจะทำพุทธมณฑลให้เป็นที่รวมของศาสนาต่างๆ
พระธรรมปิฎก: อันนี้เป็นไปไม่ได้หรอก เพราะชื่อก็บอกแล้วว่าเป็น “พุทธมณฑล”
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมจะต้องให้ชัดเจนในประเด็นนี้ ซึ่งกระผมก็เห็นอย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กล่าวไว้นะครับ คือจะต้องเฉพาะพระพุทธศาสนา
พระธรรมปิฎก: คือคนเดี๋ยวนี้ไม่รู้ความหมายของคำว่า “ใจกว้าง” ไม่รู้เรื่องเลยว่าใจกว้างคืออะไร ก็เปะปะ เละเทะไปหมด
ความใจกว้างคือการยอมรับความจริง ไม่เอาแต่ใจของตัว ไม่เอาแต่จะให้เป็นไปตามความต้องการของตัวเอง แต่ต้องสามารถยอมรับความจริงความถูกต้องได้ จึงจะเรียกว่าใจกว้าง
ไม่ใช่ว่าเขาทำอย่างนั้น ก็เออ ฉันใจกว้างยอมรับได้ เขาทำชั่ว ฉันก็ใจกว้างยอมรับได้ เขาทำดี ฉันก็ใจกว้าง ยอมรับได้ ใจกว้างแบบนี้ใช้ไม่ได้
ใจกว้างที่แท้คือสามารถยอมรับความจริง เมื่อความจริงเป็นอย่างนี้ ไม่ตรงกับที่ตัวต้องการ คนใจแคบจะรับไม่ได้
พุทธมณฑลสร้างขึ้นเพื่ออะไร ชื่อว่าอะไร วัตถุประสงค์ความมุ่งหมายคืออะไร ก็ว่าไปตามนั้น มันไม่ได้มีเรื่องอื่นที่จะมาใจกว้าง มาวินิจฉัยอะไรอีก การทำใจกว้างแบบที่ว่าเมื่อกี้นั้น กลายเป็นภาวะไร้หลัก กลายเป็นว่า คนใจกว้างคือคนหลักลอย
คนหลักลอย ไม่มีหลัก ก็ใจกว้างซิ ใครมาอย่างไรก็รับได้หมด ก็มันไม่รู้ว่าอะไรถูกผิด เพราะฉะนั้นใจกว้างแบบนี้คือคนไม่ได้เรื่อง
เวลานี้คนไทยเริ่มใจกว้างแบบนี้ คือแบบไม่รู้เรื่อง ก็ไปไม่รอด เพราะไม่มีความรู้ ขาดปัญญา สังคมไทยอย่างนี้จะแย่นะ เป็นสังคมที่ไม่มีหลัก หรือเป็นสังคมหลักลอย
เพราะฉะนั้น จะต้องชัดว่า ความใจกว้างอยู่ที่ความสามารถยอมรับความจริง อันนี้เราต้องชัดว่าเราจะทำอะไรเพื่ออะไร แล้วเขาเอาศาสนาต่างๆ มาปนเปกัน ก็พร่ากันไปหมด จนทำอะไรไม่ได้ ประเทศชาติก็เสีย
เราต้องการให้พุทธศาสนาเกิดประโยชน์แก่สังคมไทย เราจึงตั้งพุทธมณฑลขึ้นมา ทำอย่างไรจะให้พระพุทธศาสนานี้เกิดประโยชน์ได้ ก็คิดก็ทำกันไป ให้มันจริงจังชัดเจน
ตรงนี้สิเป็นสาระ ไม่ใช่ไปนึกแต่เพียงใจกว้าง แล้วก็ไม่ได้นึกถึงตัวเนื้อหาสาระที่จะต้องทำ ว่ามันอะไรกัน เลยไม่ได้เรื่องได้ราวอะไร เสียหายแก่ประเทศชาติ สังคมก็เลอะ เป็นสังคมหลักลอยอีก ไม่ได้เรื่องอะไรสักอย่าง ไม่มีเนื้อหาสาระ
ถ้าเข้าแนวนี้ต่อไปก็ไทยทั้งสังคมนี่แหละ นัวเนีย รับหมด ฝรั่งมา แขกมา จีนมา ก็ใจกว้าง ว่าตามเขาไป เลยไม่มีอะไรเป็นของตัวเอง อย่างนี้เขาไม่เรียกว่าใจกว้างหรอก แต่เรียกว่าเป็นคนไม่มีหลัก ไม่ใช่คนใจกว้าง
ใจกว้างแบบนี้ ก็เหมือนไปบอกว่า ที่โบสถ์คริสต์ ที่มัสยิด ก็นิมนต์พระไปผูกสีมา เป็นที่ทำสังฆกรรมได้ด้วย แล้วจะให้ชาวคริสต์ ชาวมุสลิมเขาทำอย่างไร หรือบอกว่าจะให้กรมป่าไม้กับกรมประมงใจกว้าง เปิดสามัคคีกัน ให้เอาหน่วยงานในสองกรมนั้นมาแทรกปนกันไป อย่างนี้เรียกว่าใจกว้างหรือ
ความสามัคคีไม่ใช่การเอามาปนเปคลุกเคล้ากัน ซึ่งจะยิ่งทำให้ติดขัดสับสน แต่อยู่ที่การมีไมตรี และร่วมมือประสานกันให้ถูกจุดถูกที่
ความใจกว้างอย่างที่ว่านั้น ที่จริงไม่ใช่ใจกว้างหรอก แต่เป็นเรื่องของการมีปัญญาแคบ คือ อยากจะแสดงความใจกว้าง แต่เมื่อไม่มีปัญญารู้เรื่องทั่วตลอด ก็ปล่อยความใจกว้างที่สับสนออกมา อย่างนี้ไม่ใช่ใจกว้างจริง แต่กลายเป็นใจกว้างแบบแสดง ที่พวกชอบใช้คำฝรั่งเรียกว่า “โชว์ออฟฟ์” ไม่เป็นอินดิเคชั่นของปัญญา แต่มันอิมพลายอวิชชา
ใจกว้างก็อยู่ที่ยอมรับกันได้ ฟังกันได้ และถ้ากว้างจริงก็สามารถถกเถียงกันได้อย่างสุภาพเปิดใจ โดยไม่ต้องตีหัวกัน
เพราะฉะนั้น พุทธมณฑลนี้ เรื่องที่ต้องคิดต้องทำอยู่ที่ว่า จะทำอย่างไรให้กิจการพระพุทธศาสนาเกิดประโยชน์แก่สังคมได้อย่างแท้จริง ซึ่งเป็นเป้าหมายเดิมที่ทำให้ตั้งขึ้นมา
ฉะนั้น ผู้ที่เกี่ยวข้องก็ต้องคิดว่า ทำอย่างไร เราจะให้พุทธมณฑลมีกิจการงานที่สนองวัตถุประสงค์ของพระพุทธศาสนา ในการทำให้เกิดประโยชน์สุขแก่ประชาชนได้สำเร็จอย่างดีที่สุด อันนี้แหละคือ พุทธมณฑลที่แท้
ไม่ต้องไปมัวคิดอย่างโน้นอย่างนี้ คนที่ไปคิดใจกว้าง มัวไปรับโน่นรับนี่ ก็เลยไม่มีเวลาทำงาน ไม่มีเวลาคิดทำเรื่องที่เป็นสาระ ตอนนี้ชักจะใจกว้างกันแบบนี้ จนกระทั่งไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลย คนไทยแย่นะ จะกลายเป็นโมหะไป
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: กระผมก็คงจะรับหลักการ ก็ต้องขอกราบนมัสการไว้ด้วย ขอปวารณาตนว่าคงมีคำถามอีกเยอะ แต่ว่าขณะนี้ก็ได้แต่เพียงคิด แล้วก็มาคราวนี้ เรียกว่าได้รับคำสั่งสอน เหมือนกับได้รับพรอันประเสริฐ มีกำลังใจทำงานเพื่อพระพุทธศาสนา
กระผมขอกราบนมัสการให้คำมั่นสัญญา ว่าจะอุทิศทั้งชีวิต ร่างกาย จิตใจ เข้าไปทำเรื่องนี้ ซึ่งก็คงจะต้องมีปัญหาอีกมากมาย ก็คงจะมากราบนมัสการถามในโอกาสต่อไปด้วยนะครับ
ในโอกาสนี้กระผมคิดว่าได้เวลาที่เหมาะสมแล้ว ท่านเจ้าคุณอาจารย์ก็เหนื่อยมากแล้ว ไม่ทราบว่ายังจะมีกำลังพอที่จะให้คำสั่งสอนแนะนำพวกกระผมประการใดต่อไปอีกหรือเปล่าครับ
พระธรรมปิฎก: ก็ขอเจริญพรอนุโมทนาท่านนายพลตำรวจโท อุดม เจริญ พร้อมทั้งท่านอาจารย์ร่วมคณะที่ได้มาครั้งนี้ โดยมีจุดมุ่งหมายที่เป็นกุศลเจตนา คือเจตนาดีต่อพระพุทธศาสนา ซึ่งมีความหมายโยงไปเอง ถึงความปรารถนาดีต่อสังคมประเทศชาติ
เราทำงานพระพุทธศาสนานี้ ก็คือเพื่อให้เกิดผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์ของพระพุทธศาสนา ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า การที่พระสงฆ์จาริกไปโน่นไปนี่ไปทำงานต่างๆ แม้แต่ตัวพระพุทธศาสนามีอยู่เพื่ออะไร
พระพุทธองค์ตรัสว่า พระพุทธศาสนาจะได้ตั้งอยู่ มั่นคง ยั่งยืน เพื่อประโยชน์เกื้อกูล เพื่อความสุขแก่พหูชน เพื่อเกื้อกูลแก่ชาวโลก นี่คือตัววัตถุประสงค์
เพราะฉะนั้น ถ้าเราทำงานเพื่อวัตถุประสงค์ของพระศาสนา ก็หมายความว่าเพื่อวัตถุประสงค์ที่เป็นประโยชน์สุขแก่ประชาชน แก่ประเทศชาติ และแก่ชาวโลกนั่นเอง อันเดียวกัน เมื่อท่านมีกุศลเจตนานี้อยู่แล้ว ก็เป็นเจตนาที่เกื้อกูลต่อสังคมประเทศชาติ
เจตนาอันนี้แหละจะเป็นแกนสำคัญ ให้เรามีทิศทางที่ชัดเจน เมื่อมีความชัดเจน และเรามีความตั้งใจจริงแล้ว จะมีกำลังก้าวไปเพื่อให้สัมฤทธิจุดหมายนั้น
ตอนนี้ก็อยู่ที่ว่า เมื่อเราชัดเจน เรามุ่งหน้าไปถูกทางแล้ว เราจะสร้างกำลังของเราขึ้นมาอย่างไร เพื่อจะเดินหน้าไป ตอนนี้ก็คือขั้นสร้างกำลัง และกำลังใหญ่ที่สุด ก็คือกำลังปัญญา
จะต้องมีความรู้ความเข้าใจ พร้อมด้วยข้อมูล มองเห็นกิจการด้านต่างๆ ให้ชัดเจน เพราะปัญญานี้แปลว่า รู้ทั่วชัด ทั้งชัดทั้งทั่ว ทั่วถึงองค์ประกอบต่างๆ พร้อมทั้งหมด
พอมีปัญญามาส่องสว่าง เห็นทิศเห็นทางชัดแล้ว ทีนี้จะเดินก็อาศัยองค์ประกอบที่จะหนุน เช่นความเพียรพยายาม ความร่วมมือ การจัดการดำเนินการ ตลอดจนปัจจัยทางวัตถุเข้ามาเสริม ถึงตอนนี้ก็เดินหน้าไปเลย
เพราะฉะนั้นก็ถือว่ากุศลเจตนานี้เป็นองค์ประกอบใหญ่และเป็นแกนนำ เมื่อตั้งขึ้นในใจแล้ว ก็เป็นจุดเริ่มที่โยงไปถึงจุดหมายทันที เรียกว่าจุดเริ่มกับจุดหมายอยู่ที่ตัวเดียวกัน แล้วเอาศรัทธาผูกเข้าไป บอกว่าเอาแน่แล้วกุศลเจตนานี้ก็นำไปเลย
เป็นอันว่า ตอนนี้เรากำลังพยายามแสวงหาปัญญากันอยู่ หาความรู้ความเข้าใจ เรื่องราวข้อมูลที่เกี่ยวข้อง แล้วต่อจากนี้ ถ้ามีความรู้ความเข้าใจ เป็นปัญญาชัด ก็เดินหน้าได้อย่างดี
อาตมภาพขออนุโมทนาท่านนายพลที่มีกุศลเจตนานี้ และเพื่อให้สัมฤทธิผล ก็ขอให้มีกำลังมาเป็นเครื่องดำเนิน โดยมีทั้งกำลังกาย กำลังใจ แล้วก็ตัวกำลังปัญญาที่ว่านั้น มารวมกันที่กำลังความสามัคคี ให้กำลังทั้งหมดนี้ หนุนกันนำไปสู่ความสำเร็จ โดยในกรณีนี้ก็คือมีท่านนายพล เป็นผู้นำขบวนที่จะก้าวไปให้ถึงจุดหมายนั้น
ก็ขอให้กุศลเจตนาที่ตั้งไว้นี้ บรรลุผลสมหมาย เพื่อประโยชน์สุขแก่ประชาชน เพื่อความดำรงมั่นคงแห่งพระพุทธศาสนา และขอให้ทุกท่าน ร่มเย็นเป็นสุขในธรรมของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตลอดกาล ทุกเมื่อ
พล.ต.ท.อุดม เจริญ: สาธุ กระผมขอถือโอกาสนี้ กราบนมัสการลาไปก่อนนะครับ ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านเจ้าคุณอาจารย์ได้กรุณาแนะนำสั่งสอนกระผมกับคณะ ทางฝ่ายฆราวาสก็จะน้อมรับ และนำไปปฏิบัติ ให้เป็นไปตามที่ได้แนะนำสั่งสอน มีปัญหาประการใด กระผมจะได้รวบรวมสมัครพรรคพวกมากราบขอความเมตตาใหม่นะครับ กราบขอบพระคุณ และขอกราบนมัสการลาครับผม
พระธรรมปิฎก: ขออนุโมทนา